

ถ้าพูดถึงสกินแคร์กู้ผิวที่มาแรงสุด ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนน่าจะนึกถึง “เรตินอล” เป็นชื่อแรก ๆ เพราะสารตัวนี้ถูกพูดถึงกันบ่อยมาก ทั้งจากหมอผิวหนังและบิวตี้บล็อกเกอร์ ว่าช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้จริง แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า เรตินอลคืออะไรกันแน่ แล้วมันช่วยอะไรกับผิวของเราได้บ้าง
จริง ๆ แล้วเรตินอล คือวิตามินเอ (Vitamin A) ในรูปแบบที่ผิวสามารถนำไปใช้ได้โดยตรง ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยดูจางลง และรูขุมขนกระชับขึ้น อย่างไรก็ตาม เพราะเรตินอลเป็นสารที่ค่อนข้างเข้มข้น หลายคนเลยกังวลว่าจะใช้ยังไงให้ไม่ระคายเคือง หรือไม่แน่ใจว่าเรตินอลจะเหมาะกับสภาพผิวตัวเองหรือเปล่า บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยทั้งหมดก่อนตัดสินใจเริ่มใช้เรตินอลอย่างมั่นใจ
KEY TAKEAWAY
- เรตินอล คือวิตามินเอในรูปแบบที่ช่วยฟื้นฟูและผลัดเซลล์ผิวให้เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
- เรตินอลช่วยอะไรผิวได้หลายอย่าง ทั้งลดเลือนริ้วรอย, ทำให้ผิวเรียบเนียน, กระชับรูขุมขน, และจัดการปัญหาสิวอุดตัน
- การใช้เรตินอล ต้องใช้ตอนกลางคืนเท่านั้น เริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำและค่อย ๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ เพื่อให้ผิวปรับตัว
- ห้ามใช้เรตินอลกับสตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร และต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมาก
- เรตินอล มีหลายประเภทตามความเข้มข้น โดยเรตินอล (Retinol) เป็นรูปแบบที่อ่อนโยนกว่าเรติน เอ (Retinoic Acid หรือ Tretinoin) ซึ่งมีความเข้มข้นมากและต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
รู้ก่อนใช้! เรตินอลคืออะไร ใช้อย่างไรให้เห็นผลโดยไม่ระคายเคือง


เรตินอล คือ สารในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือวิตามินเอที่ผิวสามารถนำไปใช้ได้ ขึ้นชื่อเรื่องช่วยฟื้นฟูผิวได้ดีมาก ๆ เพราะเรตินอลสามารถสื่อสารกับเซลล์ผิวให้ทำงานได้ดีขึ้น (Cell-Communicating Ingredient) เมื่อทาลงบนผิวแล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนเรตินอลให้กลายเป็น เรติโนอิกแอซิด (Retinoic Acid) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ดูกระจ่างใส และอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
โดยสารในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เองก็มีหลายประเภท แตกต่างกันที่ “ความเข้มข้น” และ “ความแรง” ซึ่งเหมาะกับสภาพผิวแต่ละแบบไม่เหมือนกัน
- Retinyl Ester ถือเป็นเรตินอลรูปแบบที่อ่อนโยนมาก ๆ ในกลุ่ม Retinoid เพราะต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนหลายขั้นตอนกว่าจะกลายเป็น กรดเรตินเอ (Retinoic Acid) ที่ออกฤทธิ์จริง ทำให้มีโอกาสระคายเคืองน้อย เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มใช้เรตินอลหรือผิวบอบบาง
- Tazarotene เป็นเรตินอยด์แบบสังเคราะห์ที่มีความเข้มข้นและออกฤทธิ์แรงกว่ารูปแบบทั่วไป มักใช้ในกรณีรักษา สิวขั้นรุนแรง หรือ โรคสะเก็ดเงิน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น เพราะถ้าใช้เองอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือแห้งลอกได้ง่าย
- Adapalene เป็นเรตินอยด์สังเคราะห์รุ่นใหม่ ออกแบบมาเพื่อช่วยลดสิวอุดตันและสิวอักเสบ โดยเฉพาะ จุดเด่นคือมีความเสถียรสูง ไม่สลายง่ายเมื่อเจอแสงหรืออากาศ และมักระคายเคืองผิวน้อยกว่า Tretinoin เหมาะกับคนที่อยากใช้เรตินอยด์เพื่อรักษาสิว
- Retinol เป็นรูปแบบยอดนิยมที่มักพบในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ทั่วไป เพราะให้ผลลัพธ์เรื่องผิวเรียบเนียนและลดริ้วรอยได้ดีในระดับหนึ่ง เรตินอลจะต้องผ่านการเปลี่ยนรูปสองขั้นตอนก่อนกลายเป็น เรติโนอิกแอซิด (Retinoic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Retinyl Ester แต่ก็ยังอ่อนโยนสำหรับผิว
- Retinaldehyde (หรือ Retinal) เป็นเรตินอลอีกชนิดที่อยู่ใกล้เคียงกับเรติโนอิกแอซิด (Retinoic Acid) มาก เพราะต้องผ่านการเปลี่ยนรูปแค่ขั้นตอนเดียวก่อนจะออกฤทธิ์กับผิว ทำให้เห็นผลเร็วกว่า Retinol และมีความเข้มข้นมากกว่า
- Retinoic Acid เป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านการเปลี่ยนรูปใด ๆ ถือว่าแรงที่สุดในกลุ่มเรตินอยด์ เพราะช่วยทั้งเรื่อง สิว และ ริ้วรอย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักรู้จักกันในชื่อ เรติน เอ (Retin-A) หรือ Tretinoin ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
เรตินอล ตัวช่วยผิวสวยทำงานยังไง? แล้วมีดีตรงไหนบ้าง?
หลังทาเรตินอลจะซึมเข้าสู่ผิวและกลายเป็นเรติโนอิกแอซิดที่ออกฤทธิ์จริง จากนั้นก็จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้น ทำให้ผิวดู นุ่มขึ้น ลดความหยาบกร้าน และช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน เหมาะกับคนที่อยากได้ผิวเรียบเนียน สดใส และลดปัญหาสิวอุดตันไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ เรตินอลยังช่วยทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่นขึ้น ริ้วรอยตื้น ๆ แลดูจางลง รูขุมขนดูกระชับ ผิวโดยรวมดูอ่อนเยาว์และเต่งตึงขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เรตินอลกลายเป็นหนึ่งในสกินแคร์ยอดนิยมที่หลายคนไว้วางใจ
เรตินอลจำเป็นกับผิวแค่ไหน? แล้วช่วยให้ผิวดีขึ้นได้ยังไง?


เรตินอล ไม่ได้ช่วยแค่ลดริ้วรอยเท่านั้น มันยังจัดการได้ตั้งแต่สิว ไปจนถึงฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด การเข้าใจว่าเรตินอลช่วยอะไรได้บ้าง จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าเราเหมาะกับการใช้เรตินอลเพื่อแก้ปัญหาผิวที่มีอยู่ไหม เพื่อให้มั่นใจมาดูกันว่าเรตินอลช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
- ต่อสู้กับริ้วรอยและฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยเล็ก ๆ หรือริ้วรอยลึก ก็สามารถช่วยให้แลดูจางลง ทำให้ผิวโดยรวมดูเรียบเนียน อ่อนเยาว์ และเต่งตึงขึ้น
- ปรับผิวให้เรียบเนียนและกระชับรูขุมขน เพราะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เหมาะมากกับคนที่มี รอยสิวหรือหลุมสิว ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ลดเลือนจุดด่างดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เพราะสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสมากขึ้น
- จัดการปัญหาสิวและการอุดตัน โดยการผลัดเซลล์ผิวเก่าและลดการสะสมของน้ำมันส่วนเกินในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว ทำให้ผิวดูสะอาด เรียบเนียน และสิวลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ
- ฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด หลายคนอาจสงสัยว่าใช้เรตินอลไปนาน ๆ จะเห็นผลอะไรบ้าง คำตอบคือ ช่วยซ่อมแซมผิวที่โดนแดดสะสมเป็นเวลานาน ทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น เรียบเนียน และลดสัญญาณความเสียหายจากแสงแดดในระยะยาว
เรตินอลใช้ยังไงถึงเวิร์ก ผิวเรียบเนียน ไม่ระคายเคือง
เพราะเรตินอลคือสารที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ออกฤทธิ์แรง บางครั้งอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้โดยเฉพาะตอนเริ่มใช้ ดังนั้นการรู้ว่าใช้เรตินอลยังไงให้ถูกต้องจึงสำคัญมาก เพื่อป้องกันผลข้างเคียงและทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากเรตินอลอย่างเต็มที่
- เริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วง 2-4 สัปดาห์แรก แนะนำให้ใช้ เรตินอลความเข้มข้นต่ำ และใช้แค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็พอ จะได้ให้ผิวปรับตัวก่อน ไม่ระคายเคืองเกินไป
- ควรใช้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะผิวที่ทาเรตินอลจะไวต่อแสงแดดมาก การทาเฉพาะตอนกลางคืนช่วย ป้องกันสารเสื่อมสภาพ และลดโอกาสผิวระคายเคืองจากแดดด้วย
- ใช้แค่นิดเดียวก็พอ หลายคนมักเข้าใจผิดกันบ่อย ๆ จริง ๆ แล้ว เรตินอล สำหรับทาทั่วหน้า ควรใช้ในปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว ทาเยอะเกินไปนอกจากจะไม่ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น ยังเสี่ยงระคายเคืองผิว
- ใช้คู่กับ Moisturizer สำหรับคนที่พึ่งเริ่มใช้หรือผิวแพ้ง่าย ควรเริ่มจากการทาคู่กับ Moisturizer โดยให้ลงมอยส์ก่อนตามด้วยเรตินอลแล้วปิดท้ายด้วยมอยส์ การทำแบบนี้จะช่วยให้เรตินอลไม่สัมผัสผิวโดยตรง ทำให้ผิวชุ่มชื้นและลดการระคายเคืองผิว
- ห้ามใช้พร้อมสารผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ เพราะถ้าใช้เรตินอลไปพร้อมกับสารผลัดเซลล์ผิวตัวอื่นในเวลาเดียวกัน จะทำให้ผิว ระคายเคืองหรือแห้งลอกหนักขึ้น ควรเว้นระยะ หรือสลับทากันไป
- อย่าลืมทาครีมกันแดด แนะนำทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป จะช่วยปกป้องผิวไม่ให้ระคายเคืองจากแสงแดดหลังใช้เรตินอลที่ทำให้ผิวบาง
ใช้เรตินอลครั้งแรก ต้องรู้ไว้! ข้อควรระวังที่ช่วยให้ผิวไม่พัง
อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าเรตินอลเป็นสารที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างแรง ทำให้มีข้อระวังและควรรู้ก่อนใช้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้คู่กับสารผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรง หลายคนมักสงสัยว่า เรตินอลห้ามใช้กับอะไร คำตอบ คือสารผลัดเซลล์ผิวแรง ๆ เช่น กรดเข้มข้นสูงอย่าง AHA (Glycolic Acid), BHA (Salicylic Acid) หรือ Vitamin C บริสุทธิ์ (L-Ascorbic Acid) เพราะถ้าใช้พร้อมกัน ผิวอาจระคายเคือง แห้งลอก หรืออักเสบได้ง่าย ดังนั้นเวลาใช้เรตินอล ต้องคิดไว้เลยว่า ห้ามใช้คู่กับสารเหล่านี้
- สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมลูก ต้องระวังเป็นพิเศษ หรือไม่ควรใช้เรตินอลเลย เพราะอาจมีผลกระทบต่อทารกได้ ดังนั้นควรจะรอให้พ้นช่วงให้นมลูกเสียก่อน
- ช่วงแรกอาจเกิดการดันสิว (Purging) ประมาณ 2-6 สัปดาห์แรก ผิวอาจแห้ง ลอก หรือมีสิวเห่อขึ้นมานิดหน่อย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เกิดจากการผลัดเซลล์ผิวของเรตินอล แต่ถ้าอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังทันที
- ระวังผิวรอบดวงตาและริมฝีปาก เพราะเป็นบริเวณที่บอบบางมาก ไม่ควรทาเรตินอลลงไปตรง ๆ หากอยากใช้แนะนำเลือก ครีมรอบดวงตาที่มีเรตินอลความเข้มข้นต่ำจะดีกว่า
เรตินอล vs เรติน เอ ต่างกันอย่างไร? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน!
หลายคนมักสงสัยว่า เรตินอลกับเรติน เอ (Retin-A) มันเหมือนกันไหม จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่สารตัวเดียวกัน แต่ทั้งคู่ก็อยู่ในกลุ่ม Retinoid เหมือนกัน ต่างกันตรงที่เรติน เอ หรือ Tretinoin เป็น Retinoic Acid ออกฤทธิ์แรงทันที และถูกจัดว่าเป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ ส่วนเรตินอลคือรูปแบบที่อ่อนโยนกว่า ต้องผ่านการเปลี่ยนรูปหลายขั้นตอนในผิวก่อนถึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ จนกลายเป็นสารที่นิยมใช้ในสกินแคร์ในปัจจุบัน
อยากลดริ้วรอย นอกจากใช้เรตินอล มีตัวช่วยอะไรอีกบ้าง?


ที่ Infiniz Clinic เรามีโปรแกรมผิวชั้นนำ ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวครบวงจรมาให้คุณเลือกแล้ว ดังนี้
- Program Filler หรือโปรแกรมฟิลเลอร์เป็นโปรแกรมฉีดสารเติมเต็ม อย่างกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปใต้ผิว เพื่อช่วยเติมร่องลึกของริ้วรอย และ เพิ่มวอลลุ่มให้ผิว ทำให้ผิวดูชุ่มชื้น สุขภาพดีเหมือนฟื้นฟูผิวจากภายใน
- โปรแกรม Radiesse เป็นสารเติมเต็มที่ช่วยฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติของเรา ทำให้ผิวยกกระชับขึ้นและเพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว ดูสุขภาพดีและเต่งตึงมากขึ้น
- โปรแกรม Sculptraเป็นสารช่วยฟื้นฟูสภาพผิวตามวัย เหมาะกับคนที่ผิวเริ่มสูญเสียวอลลุ่มหรือโครงสร้างตามวัย ใช้แล้วผิวจะกระชับ เต็มอิ่ม และเรียบเนียนขึ้น แถมยังช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นด้วย
FAQ เกี่ยวกับเรตินอล
เรตินอลใช้ได้ทุกวันเลยมั้ย?
สามารถใช้ได้ แต่ควรเริ่มต้นจากการใช้เรตินอลเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก่อน เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับตัวและทำความคุ้นเคย จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มความถี่ในการใช้จนสามารถใช้ได้ทุกคืน หากไม่พบอาการระคายเคือง
เรตินอลใช้ร่วมกับสารอื่น ๆ ได้หรือไม่
เรตินอลสามารถใช้กับสารที่เน้นการให้ความชุ่มชื้นได้สบาย ๆ เช่น Hyaluronic Acid แต่ ที่อยากให้ระวังคือ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสารผลัดเซลล์ผิวที่ค่อนข้างแรง อย่าง AHA/BHA หรือ Vitamin C บริสุทธิ์ ในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองมากเกินไปนั่นเองค่ะ
เรตินอลอันตรายไหม
เรตินอลไม่ได้อันตรายเลย ถ้าเราใช้ตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง แต่ ต้องเข้าใจว่าเรตินอลเป็นสารที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างแรง และทำให้ผิวเราไวต่อแสงแดดมากขึ้นมาก ๆ
เรตินอล คืออะไร? ใช้ยังไงให้ได้ผิวสวยปัง ไม่พังแน่นอน
เรตินอลเป็นสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดริ้วรอยในระยะยาวได้จริง แต่การใช้เรตินอลต้องทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาริ้วรอยลึกและความหย่อนคล้อยที่อยากได้ผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็ว การเข้าปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผิวของคุณจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ตรงจุดมากกว่า
Infiniz Clinic พร้อมดูแลปัญหาผิวด้วยการรักษาที่ได้คุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาใบหน้าและริ้วรอย โดยมีคุณหมออู๋ นพ. ณัฐพล ลาภเจริญกิจ เป็นแพทย์ประจำคลินิกคอยดูแลการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างเหมาะสมตลอดการรักษา
หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้
- Facebook: Infiniz Clinic :: Skin & Facial Design Expert
- Line ID: @Infinizclinic
- โทร: 098-828-5444
References
Farris P. (2022). SUPPLEMENT ARTICLE: Retinol: The Ideal Retinoid for Cosmetic Solutions. Journal of drugs in dermatology : JDD, 21(7), s4–s10. https://doi.org/10.36849/JDD.SO722
Robinson, M. (2023, June 27). How Retinol Works to Benefit Your Skin in 5 Ways. GoodRx. https://www.goodrx.com/health-topic/dermatology/retinol-skin-benefits?srsltid=AfmBOooYAPKi2V8365XAaNFjJutr_VhbOJKRj8nHVlyTPq4hf1jf9MQG
Cherney, K. (2023, March 15). How Does Retinol Work on the Skin?. Healthline. https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/how-does-retinol-work


