Update เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ Juvederm ในงานประชุมInternational Symposium by Allergan Aesthetics ครั้งที่ 10
เมื่อวันที่ 4-5 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา คุณหมออู๋ ได้รับเชิญมาร่วมงานประชุม Internatioanl conference “Be a True Original” by Allergan Aesthetics เป็นงานประชุมประจำปี ของ Allergan Medical Institute ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ 10 คุณหมออู๋ได้มาสรุปแง่มุมการใช้ Juvederm Filler ในหลากหลายแง่มุมจาก Speaker ทั่วโลก การใช้ Juvederm Filler ในการแก้ไขใบหน้าบริเวณแก้มตอบย่อมมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ใบหน้ามีความยกกระชับและละมุนมากขึ้น โดยส่วนมาก product of choice คือ การฉีด Juvederm Voluma เพื่อแก้ไขใบหน้าตอบ เพราะ ชั้นไขมันส่วนลึกหายไปหรือบางลง ตามอายุที่มากขึ้น โดยจุดที่ฉีดส่วนมากเป็นบริเวณ ข้างแก้ม ใต้โหนกแก้ม และ แก้มบุ๋ม ซึ่ง การฉีดส่วนนี้ช่วยให้ใบหน้าอิ่มฟูขึ้น ร่วมกับการยกกระชับใบหน้าส่วนล่าง กรอบหน้า ให้เข้ารูปและกรอบหน้าชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตามการฉีดโดยเทคนิคเดียวกับ ศัลยแพทย์ตกแต่ง ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์ค่อนข้างสูง เพราะ แพทย์ต้องมีทักษะการฉีดฟิลเลอร์มาอย่างยาวนาน และ หลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงเช่น การฉีดโดนเส้นเลือด หรือ เส้นประสาทในชั้นลึก เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง การฉีดแก้ไขส่วนบกพร่องในชั้นนี้ ด้วยเทคนิคพิเศษนี้ ทำให้ผลที่ได้มีความเป็นธรรมชาติสูงกว่า และไม่เกิดก้อนผิดปกติที่ผิวหนัง ในระยะเวลาต่อมาอีกด้วย การเติมเต็มบริเวณขมับ โดยการใช้ Juvederm Voluma เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้รับบริการดูอ่อนเยาว์ขึ้น ดูเหนื่อยน้อยลง โดยการฉีดบริเวณนี้ต้องอาศํยการทำ Facial Design อย่างมาก เนื่องจากรูปทรงกะโหลกศีรษะของผู้รับบริการมีความหลากหลาย แพทย์ผู้ฉีดจำเป็นต้องออกแบบให้รับกับ รูปทรงคิ้ว ดวงตา หน้าผาก และ โหนกแก้มของแต่ละเคส ให้ผลออกามามีความลงตัวรับกับรูปหน้ามากทึ่สุด นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ขมับ ยังช่วยยกหางตาขึ้น แก้ไขปัญหาหางตาตก หรือ คิ้วตก ได้อย่างดี รวมทั้งปัญหาริ้วรอยหางตา และ ถุงใต้ตาก็มีความกระชับมากขึ้นอีกด้วย หากผู้รับบริการสังเกตเห็นว่าตัวเองมีปัญหาบริเวณขมับที่ดูตอบ หรือเป็นแอ่งลงไป ควรนึกถึงการแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ขมับได้ โดยการเติมฟิลเลอร์บริเวณนี้ ใช้ประมาณ 1-2 CC แพทย์ผู้ทำการฉีดจะมีการประเมินสภาพผิวเพื่อเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมก่อนทำการฉีดเสมอ การฉีดฟิลเลอร์ขมับด้วยการใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่แข็งเกินไป ในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป ย่อมทำให้เกิดผลไม่เรียบเนีบนได้เสมอ ส่วนมากมักพบในเคสที่ผิวค่อนข้างอ่อนนิ่ม หรือ ผิวบางนั่นเอง การแก้ไขในกรณีนี้ ต้องทำการฉีดสลายฟิลเลอร์เท่านั้น ซึ่งมีบริการนี้ที่อินฟินิซ คลินิก มีผู้เข้ามารับบริการปรึกษาฉีดสลายฟิลเลอร์ที่คลินิก จำนวนมาก การแก้ไขปัญหาผิวพรรณด้วย Juvederm Volite สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้ทั้ง 360 องศา โดยการฉีด HA Filler Juvederm Volite ซึ่งโมเลกุลมีขนาดเล็กสุดในกลุ่ม VyCross ด้วยลักษณะของเจลที่ช่วยในการยกกระชับ และ เติมเต็มน้ำให้กับผิว การกำหนดจุดฉีดเพื่อวาง vector ให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ฉ่ำน้ำ และทำให้ผิวมีความแน่นกระชับมากขึ้นได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามแพทย์ผู้ฉีด ต้องประเมินสภาพผิวก่อนทำการรักษาอาจจะมีบางบริเวณที่ฉีดแล้วอาจจะได้ผลไม่ดี การรักษาผิวพรรณด้วยการฉีด Juvederm Volite ที่อินฟินิซ คลินิก มีการใช้มาอย่างยาวนานในการแก้ไขปัญหาผิวขาดน้ำ รักษารอยแผลเป็นสิว และ รูขุมขนกว้างได้ดี โดยการจัดวางตัว HA ดังกล่าวต้องอาศัยการวิเคราะห์โครงสร้างผิวของผู้รับบริการก่อนเสมอ และการกำหนดชั้นผิวในการจัดวางก็มีความแตกต่างกัน เพื่อผลการรักษาที่ต้องการตามปัญหาของสภาพผิวของผู้รับบริการนั่นเอง ดังนั้น ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงในการฉีด HA Filler ที่ผ่านการ Training มาอย่างถูกต้องเท่านั้น บางกรณีที่แพทย์ทำการฉีด Juvederm Volite ในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป ย่อมส่งผลให้เกิดก้อน หรือ ผิวไม่เรียบเนียนได้ ทางอินฟินิซ คลินิก มีบริการ ฉีดสลายฟิลเลอร์ ส่วนเกินจากการฉีดผิดชั้นผิว เนื่องจากการฉีดในชั้นผิวตื้นที่ไม่กลืนกับผิวลักษณะนี้ ฟิลเลอร์จะอยู่ค่อนข้างนาน ทำให้ผู้รับบริการเกิดผิวเป็นคลื่นและไม่เรียบเนียนได้ นั่นเอง ปัจจุบันมีผู้เข้ามาปรึกษาคุณหมออู๋ เรื่องการฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นจำนวนมาก บทความนี้ จึงอยากมอบความรู้ให้กับแพทย์ หรือ ผู้รับบริการถึงผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ ในปัจจุบัน มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่รุนแรง และไม่รุนแรง ดังนั้นจึงควรใช้วิจารณญาณ อย่างสูงก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ Infiniz Clinic โดยคุณหมออู๋ ณัฐพล เน้นโปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าและผิวพรรณ ด้วยผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์แท้ ที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง และเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ที่แตกต่างแบบกี่งศัลยกรรม ให้บริการงานฉีดฟิลเลอร์ สารลดเลือนริ้วรอย มาอย่างยาวนานมากกว่า 10 ปี ด้วยประสบการณ์งานฉีดฟิลเลอร์มากมาย ทำให้มั่นใจได้ถึงงานฉีดฟิลเลอร์ที่ตราตรึงผู้รับบริการ และ ไร้ผลข้างเคียงต่อผิวในระยะยาว พร้อมด้วยทีมแพทย์มากประสบการณ์ เทรนนิ่งงานฉีดโดยคุณหมออู๋เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สวยงามต่อผุ้รับบริการทุกท่านค่ะ
งานประชุมแพทย์ผิวหนังเรื่องผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเรือนจุดด่างดำ รักษาปัญหาเม็ดสีไม่สม่ำเสมอ และ ฝ้ากระ รอยดำ ของบริษัท LarochePosay
์ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของวงการแพทย์ผิวหนังและความงาม ที่ได้มี ผลิตภัณฑ์ใหม่ จากการค้นคว้า วิจัย มาอย่างยาวนาน ที่ช่วยในเรื่องการรักษาเม็ดสีอย่างชัดเจนโดยปราศจากผลข้างเคียงและผลการรักษาค่อนข้างดีมาก พอสมควร โดยมีการนำมาใช้และผลการรักษาเบื้องต้นถือว่าได้ผลดีพอสมควร ส่วนประกอบหลักในเวชสำอางใหม่ตัวนี้คือ Melasyl ซึ่งถือเป็นสารประกอบหลักในขบวนการลดรอยดำ เม็ดสีส่วนเกิน ฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน แม้จุดด่างดำที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นก็ตาม และมีการวิจัยรองรับผลการรักษาจำนวนมาก กลไกการการทำงานของสารประกอบดังกล่าว มีกลไกการทำงานในการยับยั้งการเกิดเม็ดสีตั้งแต่การลดปริมาณสารเริ่มต้น และ ยังมีส่วนยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้เกิดเม็ดสี สะสมที่ผิวหนังอีกด้วยโดยถือว่าเข้าจัดการกับปัญหาเม็ดสีตั้งแต่เริ่มต้น ระหว่างทาง จนถึงปลายทางที่เกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ นั่นเอง กระแดด กระลึก จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว ต้องอาศัยการรักษาหลากหลายรูปแบบและองค์ประกอบ การทายา หรือ เวชสำอางในการรักษาปัญหาเม็ดสี ถือเป็นสิ่งแรกที่พึงต้องทำ แต่ควรเลือกให้เหมาะกับปัญหาและสภาพผิว เพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ชัดเจน ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากท่านผู้มีปัญหาดังกล่าวไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดยตรง เนื่องจากการเลือกผลิตภัณธ์มีความหลากหลายจำนวนมาก ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนอย่างสูงนอกจากการใช้ Skincare ที่เหมาะสมแล้ว การทาครีมกันแดดอย่างเพียงพอ เป็นประจำทุกวัน วัน การทำเลเซอร์ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการช่วยให้ความหมองคล้ำ และ กระ ฝ้า จางลงเร็วขึ้นในปัจจุบันหลายคลินิก มีการนำเครื่องเลเซอร์มาใช้เป็นจำนวนมาก หลากหลายรูปแบบพลังงาน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ Intensed Pulsed Light การใช้ IPL ที่มีความยาวคลื่นแสงพอดีกับปัญหาฝ้า กระ รอยดำที่หลากหลาย ย่อมสามารถทำให้ฝ้าส่วนตื้นลดลงได้ โดยหลักการที่แสงเลเซอร์ ไปจับกับ Chromophore ในชั้นผิวหนังได้อย่างพอดี การทำเลเซอร์ชนิดนี้ แพทย์ควรสามารถกำหนดช่วงความยาวคลื่น IPL อย่างเฉพาะเจาะจง และ ระดับพลังงานที่พอดี จะทำให้ ผิวหน้าดูสว่าง สดใส รอยฝ้ากระ จุดด่างดำ ลดลง ข้อดี ของการรักษาฝ้า ด้วยวิธีนี้คือ ไม่มี Downtime ใบหน้าไม่แดงบวม ร้อน แสบอาจจะมีเพียงแค่สะเก็ดอ่อนๆ หรือไม่มีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเข้มของปัญหาเม็ดเหล่านั้น Q-Switched Nd:YAG LASER ซึ่งคือเลเซอร์ต้นแบบในการรักษา ฝ้า กระ รอยดำ ยี่ห้อต้นแบบคือ Medlite C6 LASER ที่มีการใช้มาอย่างยาวนาน และด้วยมีผลงานวิจัยรองรับการรักษา ฝ้า รอยดำ กระ กระแดด อย่างมากมาย ด้วยการกำหนดระดับพลังงานที่เหมาะสม ทำให้ปัญหาเม็ดสีเข้มผิดปกติต่างๆจางลงได้ใน การทำประมาณ 3-5 ครั้ง ระยะห่างประมาณ 2-4 สัปดาห์แล้วแต่ปัญหาและสภาพผิวของผู้รับบริการปัญหาเม็ดสีแต่ละแบบมีรูปแบบการใช้พลังงานและ Mode การรักษาที่แตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางและตรวจสภาพผิวก่อนเริ่มทำการรักษา เพื่อการแก้ปัญหาเม็ดสีผิดปกติ และหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง PicoSecond LASER เป็นกลุ่มเลเซอร์ใหม่ล่าสุด โดยมีอัตราการปล่อยพลังงาน LASER ในอัตรา ล้านๆจุดต่อวินาที ทำให้การเข้าทำลายเม็ดสีส่วนเกินเร็วมากจนไม่เกิดผลข้างเคียงแต่ผิวบริเวณใกล้เคียง การรักษามี 2 mode คือ การรักษาเพื่อลดรอยดำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และ mode แบบตกสะเก็ดคือ รักษารูขุมขนกว้าง หลุมสิว ซึ่งการรักษาด้วย LASER กลุ่มนี้หลังทำผิวจะมีอาการแดงและบอบบางค่อนข้างมาก ทำให้หลังทำต้องระมัดระวังเรื่องการโดนแดด และ หลีกเลี่ยงความร้อน มากพอสมควร เพื่อป้องกันการเกิดปัญหารอยดำตามมา ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และ ประเมินลักษณะปัญหาเม็ดสี ร่วมกับ Lifestyleว่าเหมาะสมกับการรักษาด้วยเลเซอร์กลุ่มนี้ หรือไม่ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว หรือ ปัญหาเม็ดสีที่เข้มขึ้นกว่าเดิม อินฟินิซ คลินิก มีโปรแกรมการรักษาฝ้า รอยดำ กระ จุดด่างดำ หลากหลาย ทั้ง LASER / Cosmeceuticals / Supplements ตลอดจน Treatment ต่างๆ ที่ได้ผลการรักษาที่ดี ปลอดภัย ภายใต้การดูแลของคุณหมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม มากประสบการณ์ โดยเน้นการรักษาแบบเฉพาะบุคคลจึงแนะนำปรึกษาคุณหมอเพื่อวางแผนการรักษา ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละราย
คุณหมออู๋ร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการ งานบรรยายวิชาการแพทย์ ในหัวข้อ Turn your AART into HIT SHAPE UP & GLOW ON
ภาพบรรยากาศในงานบรรยายความรู้วิชาการแก่เหล่าแพทย์ความงามเมื่อพุธที่ผ่านมา คุณหมออู๋ได้ร่วมเป็น Moderator ในหัวข้อ Turn your AART into HIT SHAPE UP & GLOW ON ซึ่งงานจัดขึ้นโดย บริษัท กัลเดอร์มา ไทยแลนด์ ณ UOB Live Emsphere ค่ะเนื้อหาโดยรวมเน้นไปที่การดูแลผู้รับบริการในรูปแบบ Holistic Individualized Treatment โดยการใช้ สารลดเลือนริ้วรอย สารเติมเต็มในกลุ่ม Hyaluronic acid และ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีความเป็นธรรมชาติสูงสุด และตรงใจผู้รับบริการทุกท่านค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาทุกเรื่องความงามและผิวพรรณ📍Infiniz clinic, 4th Floor The Mercury Ville, BTS Chidlom📞 Tel: 098-8285444🆔 Line ID: @Infinizclinic (มี@ข้างหน้า) หรือ กดคลิกแอดไลน์➡️ https://lin.ee/egwR5Ge📥 Inbox: m.me/infinizclinic
คุณหมออู๋ กับบทบาท Speaker งานสอนใน GAIN Thailand 2024
เป็นอีกหนึ่งงานบรรยายวิชาการประจำปีของบริษัท Galderma Thailand ที่เป็นงานประชุมวิชาการ บรรยายแก่แพทย์ความงามทั่วทั้งประเทศโดยในปีนี้มีหัวข้อที่ชื่อว่า Turn on your AART into HIT SHAPE UP and GLOW ON แปลแบบสรุปก็คือ รูปแบบการวิเคราะห์รูปหน้าผิวพรรณเพื่อกำหนดจุดที่เป็นปัญหาของผู้รับบริการก่อนจะวางแผนการใช้ สารลดเรือนริ้วรอย สารเติมเต็มในกลุ่ม Hyaluronic acid และ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นำมาซึ่งการรักษาที่ตรงจุดชัดเจนและได้ผลอย่างเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากผลข้างเคียง ในงานนี้ มีการพูดถึงการใช้ตัว Collagen Biostimulator( Sculptra) ในการฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อน หรือ ผิวไม่เรียบ ตลอดจนระยะห่างระหว่างการฉีดแต่ละครั้งก็ต้องมีความเหมาะสม โดยมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล เป็นหน้าที่ที่แพทย์ควรต้องมีความรู้และประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงจะสามารถประเมินรูปแบบการรักษาในแต่ละบุคคลได้อย่างดี เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุดนั่นเอง การใช้ Sculptra ร่วมกับการใช้เครื่องยกกระชับ เช่น Ulthera, Ultrafomer MPT, Thermage FLX หรือ เลเซอร์กลุ่มยกกระชับอื่นๆ ก็เช่นกัน เป็นการรักษาที่เป็นที่นิยมอย่างมากโดยควรต้องเว้นระยะการรักษาระหว่างกัน ประมาณ 1 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบหรือการระบมในชั้นผิวที่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง สิ่งที่เป็น Highlight สำคัญคือ การฉีด Sculptra ควบคู่กับการฉีด Skinboostersเพื่อกระตุ้นให้ผิวมีคอลลาเจนใหม่มากขึ้น ร่วมกับการเติมน้ำให้ผิวในระดับชั้นลึกซึ่งผลที่ได้ย่อม Double เกิดปรากฏการณ์ผิวฉ่ำวาว เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย และ ดูอ่อนเยาว์ ไปพร้อมๆกัน โดยผู้รับบริการไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตต่อได้ตามปกติ แต่เทคนิคนี้ ต้องอาศัยการจัดวางโดยแพทย์ที่มีความแม่นยำในชั้นผิว และ การออกแบบเพื่อกำหนดจุดยก ดึง โครงสร้างผิวที่ถูกวิธี ให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างและชัดเจนกว่าวิธีปกติ และหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย นอกจากนี้การปรับรูปหน้าด้วยการฉีด HA Filler ร่วมกับ Sculptra ย่อมสามารถทำได้แต่มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องอาศัยการวิเคราะห์รูปหน้าอย่างละเอียดเพื่อการจัดวาง HA Filler ปรับโครงสร้างเสริมความงามให้ตรงจุด ร่วมกับการฉีด Sculptra กระชับผิวเข้าไปอีกระดับนึง จึงต้องอาศัยการคาดคะเน ปริมาณ PLLA SCA (Sculptra) ที่แม่นยำ จัดวางอย่างถูกต้อง และ ไม่รบกวนการทำงานของ HA Filler โดยตำแหน่งที่มักได้ผลดีคือ การฉีดบริเวณแก้ม ใต้ตา ร่องแก้ม และ คางกรอบหน้า นั่นเอง ทั้งหมดนี้ เป็นรูปแบบการรักษาที่ Customized อย่างชัดเจนจึงต้องอาศัยประสบการณ์ของแพทย์ค่อนข้างสูง ในงานวิจัยล่าสุด มีการทดลองดู Gene expression หลังการฉีด Sculptra เข้าไปในเนื้อเยื่อ พบว่า มีการกระตุ้นให้ผิว มีการสร้าง Fibroblast, Collagen type 1 & 3, Elastin และ Proteoglycan อย่างชัดเจนด้วยขบวนการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลาหนึ่งจนถึง 2 ปีซึ่งพบว่า ยังมีการเกิด ขบวนการยับยั้งการอักเสบเพื่อลดการเกิดการกระตุ้นคอลลาเจนที่ผิวของเราไม่ต้องการอีกด้วย สุดท้าย ก่อนทำการเลือกการฉีด Biostimulator ตัวใด แพทย์ควรคำนึงถึง ลักษณะของ Particle คุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของสารตัวนั้น ความคงทนอยู่ในผิวของเราได้ยาวนานแค่ไหน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดแล้วสามารถแก้ไขได้หรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณหลังได้รับการฉีดไปแล้วเป็นแบบใด ขบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นได้ โดยBiostimulator แต่ละตัว มีลักษณะที่แตกต่างกันทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง และ วิธีการฉีดก็มีความแตกต่างกันผู้รับบริการจึงควรศึกษารายละเอียด คุณสมบัติ หรือ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เพื่อทราบข้อมูลข้อเท็จจริง ก่อนทำการรักษา เพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ตอบโจทย์ ตรงใจผู้รับบริการแต่ละคนนั่นเองครับ
Galderma Award Night 2024
ค่ำคืนแห่งความสุขและความยินดีในงาน🏆GALDERMA AWARD NIGHT 2024 จัดขึ้นที่ UOB Live @theemsphere Infiniz Clinic นำทีมโดยคุณหมออู๋ นพ.ณัฐพล ลาภเจริญกิจ เข้าร่วมรับรางวัลอันทรงเกียรติ✨ 2 รางวัล ได้แก่ 🏆Senior Local Mentor Trainer 2023 award 🏆คลินิกที่มียอดใช้โปรแกรมฟิลเลอร์สูงสุดระดับประเทศ ประจำปี2023 การันตีความสำเร็จอย่างต่อเนื่องยาวนานด้วยคุณภาพและมาตรฐานการบริการและผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมระดับ world class ที่เน้นความประทับใจสูงสุดของผู้รับบริการ✨ อินฟินิซคลิกนิกและคุณหมออู๋ ณัฐพลขอขอบคุณผู้รับบริการทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้ และขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ไว้วางใจให้อินฟินิซคลินิกดูแลตลอดมา เราสัญญาจะไม่หยุดพัฒนาคุณภาพและบริการ พร้อมส่งต่อประสบการณ์ความงามที่เหนือระดับ พร้อมความสุขและรอยยิ้ม เพราะทุกคนคือคนสำคัญ สำรองคิวปรึกษาปรับรูปหน้าแบบ exclusive กับคุณหมออู๋ ณัฐพล🧑⚕️ 📍 𝗜𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘇 𝗖𝗹𝗶𝗻𝗶𝗰 𝗠𝗲𝗿𝗰𝘂𝗿𝘆 𝗩𝗶𝗹𝗹𝗲, 𝗕𝗧𝗦 𝗖𝗵𝗶𝗱𝗹𝗼𝗺 📞 Tel: 098-8285444 🆔 Line ID: @Infinizclinic (มี@ข้างหน้า) หรือ กดคลิกแอดไลน์: bit.ly/3actYK1 📥 Inbox: m.me/infinizclinic #GALDERMATHAILAND #RESTYLANE #ABOTOXIN #หมออู๋ณัฐพล #อินฟินิซคลินิก #galdermatrainer
Sculptra Training Class 22 Jan 2024
คุณหมออู๋ ได้รับเชิญสอนภาคปฏิบัติ (Hands-On) การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน SCULPTRA การเรียน การสอนสอนเต็มไปด้วยความรู้ผสานความสนุก บรรยากาศในคลาสอบอุ่นเป็นกันเอง คุณหมออู๋หวังว่าแพทย์ผู้เรียน จะนำความรู้ไปพัฒนาเพิ่มพูนทักษะเรื่องการเลือกฉีด Sculptra ในทุกรายละเอียด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สวยงามและลงตัวต่อผู้รับบริการแต่ละคน และขอขอบคุณ บริษัท กัลเดอร์มา ไทยแลนด์ มา ณ โอกาสนี้ค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจทำโปรแกรม Collagen Biostimulator❤️ด้วย PLLA SCAโดยเทคนิคพิเศษของคุณหมออู๋ ณัฐพล Thailand Master Trainer & Speaker🥇การฉีดสาร PLLA ทำนัดง่ายๆ ตามช่องทางนี้เลยค่ะ 📍Infiniz clinic, 4th Floor The Mercury Ville, BTS Chidlom 📞 Tel: 098-8285444 🆔 Line ID: @Infinizclinic (มี@ข้างหน้า) หรือ กดคลิกแอดไลน์➡️ https://lin.ee/egwR5Ge 📥 Inbox: m.me/infinizclinic #PLLA #SCULPTRA #SkinSculptingSolution #theskinthatfeelslikeyouagain #SculptraMultidimensions #หมออู๋ณัฐพล #อินฟินิซคลินิก #แพทย์วิทยากรผู้สอนการฉีดSculptra
Ultraformer MPT ตัวช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอย พร้อมสลายไขมันในเครื่องเดียว
การมีริ้วรอยพร้อมกับความหย่อนคล้อยตามผิวหน้าและผิวกาย อาจเป็นปัญหากวนใจของใครหลาย ๆ คนที่กำลังมีอายุเพิ่มมากขึ้น Ultraformer MPT จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัดและพักฟื้น ด้วยการใช้พลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงที่ลงลึกถึงชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวันนี้ Infiniz Clinic ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยี Ultraformer MPT ที่ตอบโจทย์เรื่องยกกระชับผิวให้คุณได้เป็นอย่างดีกัน Ultraformer MPT คืออะไร? Ultraformer MPT (Ultraformer Micro-Pulse Technology) คือ เทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาช่วยยกกระชับผิว ลดเรือนริ้วรอยบนใบหน้าให้บางลง พร้อมปรับกรอบหน้าให้เรียวขึ้นจากการสลายไขมันส่วนเกิน ด้วยการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ลงไปยังใต้ผิวหนังขั้น SMAS ได้อย่างเฉพาะจุดและแม่นยำ ซึ่งเราเรียกนวัตกรรมนี้ว่า MMFU หรือ Micro & Macro Focused Ultrasound นอกจากนี้ เครื่องมือ Ultraformer MPT ประกอบไปด้วยหัวยิงหลากหลายที่มีรูปแบบการปล่อยพลังงานมากถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ แบบจุดธรรมดา (Normal Dot), แบบเส้นตรงชนิด MP (Micro Pulse), แบบวงกลมชนิด MP (Micro Circular) และแบบจุดวงกลม (Circular Dot) ซึ่งนอกจาก Ultraformer MPT จะช่วยลดเรือนริ้วรอยแล้ว ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนบนผิวได้ดีอีกด้วย หลักการทำงานของ Ultraformer MPT การยกกระชับผิวด้วย Ultraformer MPT นั้นสามารถทำได้ด้วยการยิงคลื่นพลังงานเสียงอัลตราซาวนด์ลงไปที่ผิวหนัง โดย Ultraformer MPT มีหลักการทำงาน 2 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะการทำงานแตกต่างกันดังนี้ 1. Micro Focused Ultrasound หลักการทำงานของ Ultraformer MPT ลักษณะนี้ สามารถส่งคลื่นพลังงานในระดับความลึกที่ 1.5 mm., 3 mm. และ 4.5 mm. ให้ถึงผิวชั้นใต้ผิวหนัง (SMAS) โดยมีความร้อนอยู่ที่ 65-70 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยให้บริเวณผิวหน้าและลำคอที่มีความหย่อนคล้อยเกิดความกระชับ พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถจัดการริ้วรอยเล็ก ๆ เฉพาะจุดบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางพลังงานอยู่ที่ 0.5 mm. 2. Macro Focused Ultrasound Macro Focused Ultrasound มีหลักการทำงานที่สามารถส่งคลื่นพลังงานเข้มข้นในระดับความลึกที่ 6 mm., 9 mm. และ 13 mm. ถึงผิวชั้นลึกใต้ผิวหนัง (SMAS) ได้เช่นเดียวกัน กับความร้อนที่ 65-70 องศาเซลเซียส ด้วยระดับความลึกที่มากขึ้นและการปล่อยพลังงานได้สูงถึง 8 เท่ากว่า Micro Focused Ultrasound ทำให้ Ultraformer MPT ลักษณะนี้เหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการสลายไขมันส่วนเกิน เพราะจะทำให้บริเวณที่ทำยกกระชับและมีกรอบหน้าเรียวชัดมากขึ้น Ultraformer MPT ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? เทคโนโลยี Ultraformer MPT เป็นเครื่องมือที่ได้รับการรับรองระดับสากลว่ามีมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพในการปรับรูปหน้ากับการยกกระชับผิวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยแก้ไขบริเวณผิวหน้าและผิวกายได้หลากหลายจุดอีกด้วย ดังนี้ Ultraformer MPT เหมาะกับใคร? Ultraformer MPT ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยปรับรูปหน้าด้วยการยกกระชับผิว และแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยบนใบหน้าได้หลากหลายจุด สำหรับใครที่กำลังกังวลว่าตนเองเหมาะกับการทำ Ultraformer MPT หรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากผู้มีปัญหาผิวหน้าดังต่อไปนี้ ข้อดีของ Ultraformer MPT ปัจจุบัน Ultraformer MPT เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับยกกระชับผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถปล่อยคลื่นพลังงานลงลึกได้ทุกชั้นผิวโดยไม่ส่งผลอันตราย รวมถึงเกิดผลข้างเคียงหลังทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ทุกสภาพผิว เนื่องจากสามารถปรับระดับของพลังงานและหัวยิงได้หลากหลาย ตามจุดที่ผู้เข้ารับบริการแต่ละคนต้องการแก้ไขโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้น ตลอดจนไม่ต้องกังวลว่าทำ Ultraformer แล้วกี่วันเห็นผล เพราะหัตถการดังกล่าวสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ภายในสัปดาห์แรก พร้อมให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ข้อจำกัดของ Ultraformer MPT การทำ Ultraformer MPT มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการทำ Ulthera ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาริ้วรอยลึกหย่อนคล้อยค่อนข้างมาก ในกรณีนี้ อาจต้องการการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ สารลดเลือนริ้วรอย สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนร่วมด้วย เพื่อผลการรักษาที่ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่าการทำ Ultraformer จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่สัปดาห์แรก แต่หากผู้รับบริการต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน อาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน Ultraformer III และ Ultra MPT ต่างกันอย่างไร? แม้ Ultraformer MPT และ Ultraformer III จะเป็นเครื่องมือยกกระชับผิวที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์และเทคโนโลยีแบบ Focus Ultrasound เช่นเดียวกัน แต่ทั้งสองเครื่องก็ยังมีข้อแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการปล่อยพลังงาน, ระดับความลึก, ระยะเวลาในการทำ และข้ออื่น ๆ ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ยาวนานนั่นเอง ซึ่งสามารถพิจารณาได้ตามนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง Ultraformer MPT กับการทำหัตถการแบบอื่น ๆ Ultraformer MPT เป็นหัตถการที่ช่วยยกกระชับผิว กระตุ้นคอลลาเจนผิวให้กระจ่างใส และเสริมผิวให้อิ่มฟูมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาจากขั้นตอนการทำ เครื่องมือที่ใช้ ตลอดจนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังทำ ย่อมแตกต่างจากการทำหัตถการรูปแบบอื่น ๆ โดยสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้ การทำ Ultraformer MPT Ultraformer MPT เป็นเทคโนโลยีกระชับผิวด้วยการปล่อยคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ โดยมีจุดเด่นคือ สามารถเปลี่ยนหัวยิงที่ปล่อยพลังงานออกมาได้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เข้ากับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และแก้ไขปัญหาของผู้เข้ารับบริการได้อย่างตรงจุด MPT Ultraformer จึงเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยและไขมันสะสมบนใบหน้า การฉีดฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์เป็นการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า ให้ผิวชั้นในกับชั้นใต้ผิวหนังกลับมาอิ่มฟู ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น รวมถึงช่วยเสริมจุดต่าง ๆ เช่น คาง ขมับ ปาก เป็นต้น เพื่อปรับรูปหน้าให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม ด้วยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปนั่นเอง ไม่ใช่การส่งคลื่นพลังงาน ทำให้ฟิลเลอร์เป็นการทำหัตถการที่แตกต่างจาก Ultraformer MPT อย่างชัดเจน การทำ HIFU HIFU ทั่วๆไป เป็นหัตถการที่ช่วยยกระชับใบหน้า ลดริ้วรอยให้ดูตื้น และสามารถกระตุ้นคอลลาเจนบนผิวหนังได้ โดยสามารถเลือกหัวยิงสำหรับปล่อยพลังงานให้เหมาะสมกับระดับผิวได้เช่นเดียวกับ Ultraformer MPT แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จากการทำ HIFU 1 ครั้งจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือนเท่านั้น ต่างกับ Ultraformer หลังทำผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือนเลยทีเดียว การทำ Ulthera Ulthera และ Ultraformer MPT เป็นเครื่องมือสำหรับยกกระชับผิวที่สามารถส่งพลังงานได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS แต่ Ulthera จะใช้ความถี่ของคลื่นเสียงแบบ Focused Ultrasound ด้วยขนาดจุดโฟกัส 1 mm. ทำให้ส่วนใหญ่มักถูกใช้ทำหัตถการยกกระชับเฉพาะจุด เช่น ผิวหน้า ลำคอ หรือบริเวณเนินอก ในขณะที่ Ultraformer MPT โดดเด่นเรื่องการยกกระชับกับสลายไขมันบริเวณผิวหน้าและลำตัว นอกเหนือจากหัตถการที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว การทำ Thermage ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้า สลายไขมันในผิวให้ใบหน้ามีสัดส่วนที่กระชับ พร้อมลดเลือนริ้วรอยให้บางลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นหัตถการที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ “Thermage ช่วยเรื่องอะไร ดีจริงไหม?” ทำ Ultraformer MPT ราคาเท่าไร? สำหรับผู้ที่สนใจยกกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจนผิวชั้นบนด้วยการทำ Ultraformer MPT มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15,900 บาทเป็นต้นไป โดยราคาของ Ultraformer ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณที่เลือกทำ, จำนวนช็อตที่ใช้, สภาพผิวหน้าของผู้รับบริการแต่ละบุคคล รวมถึงโปรโมชันของคลินิกที่จัดในแต่ละช่วง หากต้องการทราบรายละเอียดการทำ Ultraformer MPT กับราคาที่แน่นอน รวมไปถึงบริการอื่นๆ เช่น Thermage ราคาเท่าไหร่ ? สามารถติดต่อสอบถามกับ Infiniz Clinic ผ่านช่องทางออนไลน์และปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการได้ที่คลินิกทุกสาขา การเตรียมตัวก่อนไปทำ Ultraformer MPT การทำ Ultraformer MPT เป็นหัตถการที่ควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อประเมินสภาพผิวหน้า และวิเคราะห์ปัญหาผิวที่ผู้รับบริการต้องการแก้ไข จึงค่อยเข้าสู่ขั้นตอนเตรียมตัวสภาพผิวก่อนทำ Ultraformer MPT โดยวิธีเตรียมตัวที่เราแนะนำมีด้วยกัน ดังนี้ ขั้นตอนการทำ Ultraformer MPT หลังจากทราบการประเมินผิวหน้าจากแพทย์ และปฏิบัติตามวิธีการเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer MPT เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการยกกระชับผิวด้วยเครื่อง Ultraformer MPT ซึ่งกระบวนการทำจะอยู่ภายใต้ความดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ การดูแลตนเองหลังไปทำ Ultraformer MPT สิ่งสำคัญที่ทำให้ผลลัพธ์จากการ Ultraformer MPT มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวมากที่สุดก็คือ วิธีการดูแลตนเองหลังทำ Ultraformer ซึ่งสามารถปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ เพียงไม่กี่วิธีดังต่อไปนี้ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ultraformer MPT ควรทำ Ultraformer MPT กี่ครั้งถึงเห็นผล ? การทำ Ultraformer MPT หากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนควรทำอย่างต่อเนื่องในระยะ 3-6 เดือน เพื่อมอบผลลัพธ์ให้อยู่นานขึ้นและเสริมประสิทธิภาพในการยกกระชับผิว Ultraformer MPT อันตรายหรือไม่? วิธีการยกกระชับผิวและสลายไขมันด้วยเครื่องมือ Ultraformer MPT ไม่เป็นอันตรายต่อผิวและ หลังทำ Ultraformer สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งนี้ ความอันตรายจากการเข้ารับบริการขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์และเครื่องอัลตร้าฟอร์เมอร์ที่ได้มาตรฐาน ทำ Ultraformer MPT เจ็บหรือไม่? การทำ Ultraformer MPT เป็นการยกกระชับผิวและสลายไขมันที่มีความเจ็บเพียงเล็กน้อย จะรู้สึกอุ่น ๆ และตึงบริเวณใต้ผิวหนัง หากถามว่า Ultraformer MPT เจ็บไหม ก็เป็นความเจ็บที่อยู่ในระดับทนได้ เนื่องจากผิวมีการสะสมพลังงานความร้อนในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งความรู้สึกเจ็บนี้อาจขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรทำ Ultraformer MPT กี่ช็อต? โดยทั่วไปแล้ว Ultraformer MPT สามารถทำได้ตั้งแต่ 200-600 ช็อต ซึ่งจำนวนช็อตที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากบริเวณผิวที่ทำ สภาพผิวหน้าของผู้ของรับบริการ ซึ่งอยู่ภายใต้คำแนะนำและการประเมินของแพทย์ผู้ให้บริการ Ultraformer MPT นวัตกรรมยกกระชับผิวที่มีประสิทธิภาพ สรุปแล้ว Ultraformer MPT เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึก และสลายไขมันส่วนเกิน ได้ครบจบภายในเครื่องเดียว ซึ่งเป็นการยกกระชับผิวที่สามารถทำได้ทั้งผิวหน้า ลำคอ และผิวกาย ด้วยการส่งคลื่นพลังงานเข้มข้นไปยังชั้นใต้ของผิวหนัง (SMAS) ให้เกิดความร้อนสะสมจนทำให้เนื้อเยื่อหดตัวและผิวยกกระชับมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดและเข้าพักฟื้น หากใครที่กำลังสนใจยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าให้เรียวมากขึ้น ควรปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อประเมินสภาพผิวและปัญหาผิวแต่ละบุคคล ซึ่งทาง Infiniz Clinic เรามีบริการทำ Ultraformer MPT ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน โดยทีมแพทย์หมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ อาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวหนังและการปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ พร้อมรางวัลการันตีในความสามารถมากมายอย่าง Gold Awards Facial Aesthetics 2023 สามารถติดต่อสอบถามทางคุณหมอและทีมงานได้ตามช่องทางดังนี้ References Mark Contini,…
บรรยากาศงาน 𝗔𝗟𝗟𝗨𝗥𝗘 𝗡𝗜𝗚𝗛𝗧 2023
บรรยากาศงาน ✨⭐️𝗔𝗟𝗟𝗨𝗥𝗘 𝗡𝗜𝗚𝗛𝗧 : 𝘈 𝘚𝘵𝘢𝘳𝘭𝘪𝘵 𝘑𝘰𝘶𝘳𝘯𝘦𝘺 𝘰𝘧 𝘛𝘳𝘪𝘶𝘮𝘱𝘩 𝘪𝘯 𝘈𝘤𝘩𝘪𝘦𝘷𝘦𝘮𝘦𝘯𝘵 & 𝘈𝘸𝘢𝘳𝘥 𝘈𝘱𝘱𝘳𝘦𝘤𝘪𝘢𝘵𝘪𝘰𝘯 2023 ⭐️✨ ในค่ำคืนวันที่ 20 ธันวาคม 2023 คุณหมออู๋ได้รับเชิญร่วมงานในฐานะ KOL ของแบรนด์ Pure Bim Hydrating Gel Mask หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Skin O’Clock Mask และในครั้งนี้ Ininiz Clinic ยังได้รับรางวัลคลีนิกที่มียอดใช้ Skin O’clock Mask สูงสุดประจำปี 2023 อีกด้วย Skin O’Clock มาส์กสำหรับผิวหน้า นวัตกรรมใหม่ล่าสุด Import จากประเทศเกาหลี ด้วยลิขสิทธิ์เฉพาะของ Skin O’Clock Hydrogel ทำให้แผ่นมาร์คทุกชิ้น Sterile ผ่าน Electron Beam จึงสามารถใช้หลังทำเลเซอร์หรือหัตถการความงามต่างๆ ได้ทันที ช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยแดงและลดอุณหภูมิทันทีที่แปะมาส์ก AllureNight2023
Radiesse นวัตกรรมใหม่ในการกระตุ้นคอลลาเจน เน้นงานผิว
วันนี้ Infiniz Clinic จะมาทุกคนมาทำความรู้จัก “Radiesse” นวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะมาช่วยดูแลผิวหน้าของคุณให้สดใสจากภายใน เนื่องด้วยเมื่ออายุมากขึ้น การดูแลผิวหน้าด้วยการทาครีมบำรุงหรือการดื่มน้ำสะอาด อาจจะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างเพียงพอ และอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการแพทย์เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาผิวแทน สิ่งที่จะเป็นทางเลือกในการดูแลผิวหน้าให้กลับมาอ่อนเยาว์และดูสุขภาพดี คือ Radiesse หนึ่งในหัตถการที่จะมาช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้าของเราให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นคล้ายกับ Sculptra สำหรับใครที่อยากทราบว่า การฉีด Radiesse ราคาเท่าไหร่ และเราจะได้ประโยชน์จากฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ใบหน้าอย่างไรบ้าง ในบทความนี้ได้รวบรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับ Radiesse ไว้ให้คุณแล้ว Radiesse คืออะไร? Radiesse คือ สารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ชนิด CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวในชั้นใต้ผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนด้วยตนเอง และยังทำให้ผิวหน้าดูมี Volume อีกทั้งหลังฉีดเสร็จสามารถเห็นผลทันทีคล้ายการฉีดฟิลเลอร์อีกด้วย เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น ร่างกายและผิวพรรณก็จะเริ่มมีความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างผิวหนังเริ่มไม่สามารถสร้างคอลลาเจนได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับน้อยลง พอโครงสร้างผิวจากภายในเริ่มไม่แข็งแรง ผิวของเราจะเริ่มเกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจกับผิวหน้า ดังนั้น การดูแลผิวหน้าที่สำคัญ จึงต้องฟื้นฟูตั้งแต่ชั้นโครงสร้างผิวผ่านการเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า โดยการเลือกใช้วิธีกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Radiesse ให้ผิวหน้าของคุณดูดีได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น คุณสมบัติเด่นของ Radiesse หลังจากที่เราทราบกันแล้วว่า Radiesse สามารถช่วยฟื้นฟูผิวหน้า และเพิ่มความกระชับให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เรามาดูกันต่อว่า Radiesse จะมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างส่วนไหนบ้างที่เป็นผลดีต่อสภาพผิวของเรา การฉีด Radiesse เหมาะหรือไม่เหมาะสมกับใคร? ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse ฉีด Radiesse ราคาเท่าไหร่? การเติมสารคอลลาเจนแบบฉีดด้วย Radiesse สามารถทำได้ในหลากหลายตำแหน่งทั้งผิวหน้าและผิวกาย มีปริมาณ 1.5 CC ต่อ 1 หลอด โดยสามารถปรับความเข้มข้นได้เป็น 4.5 CC พร้อมสำหรับการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนและเติมเต็ม โดยราคาของ Radiesse จะเริ่มต้นที่ 34,900-50,000 บาท* ซึ่งจะมีความแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จะได้ฟิลเลอร์ 1 CC เท่านั้น *ราคาจะขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลที่เลือกเข้ารับบริการและเงื่อนไขอื่น ๆ ร่วมด้วย หากใครสนใจข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ : ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม อันตรายไหม การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีด บริเวณใดที่สามารถฉีด Radiesse ได้บ้าง? การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน เข้าใบหน้าด้วย Radiesse เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และเติมเต็ม มาทดแทนคอลลาเจนและอิลาสตินที่สร้างน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น สามารถทำการฉีด Radiesse ได้ในหลายตำแหน่ง ดังนี้ Radiesse แตกต่างกับวิธีการทำหัตถการอื่น ๆ อย่างไร? ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ Sculptra การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีด Sculptra ตรงที่คุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิว แม้ว่าทั้งคู่จะช่วยเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า แต่ Radiesse จะเน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจนในการเติมร่องลึกที่มีริ้วรอยต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม Volume ให้กับผิวหน้า ผลลัพธ์ของจากฉีดจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ในส่วนของการฉีด Sculptra จะเป็นการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิวหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าไม่กระชับ และเติมผิวให้มีความอิ่มฟู ผลลัพธ์ของจากฉีดจะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี ทั้งสองหัตถการยังสามารถทำการฉีดควบคู่กันไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ ฟิลเลอร์ การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ ตรงที่คุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิว โดยที่ Radiesse จะช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่มีร่องลึกและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหน้า มีระยะเวลาในการสลายตัวยาสูงสุดที่ 1-2 ปี ในส่วนของการฉีดฟิลเลอร์ จะมีส่วนช่วยให้ผิวมีการกักเก็บน้ำที่ดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และเติมเต็มผิวที่ไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์มีระยะเวลาในการสลายตัวยาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมีอีกทางเลือกคือการฉีดสลายฟิลเลอร์ อีกทั้งยังมีลักษณะตัวยาที่ต่างกับ Radiesse จึงเหมาะกับการฉีดผิวบริเวณติ้นที่ดีกว่า เช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก, ฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือ ฟิลเลอร์ขมับ เป็นต้น ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ เมโสหน้าใส การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีดเมโสหน้าใส ตรงที่ Radiesse จะเป็นการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้า เพื่อให้ผิวหน้ามีความกระชับมากยิ่งขึ้น แต่เมโสหน้าใสจะเป็นการฉีดวิตามินและสารสกัดจำเป็นต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหน้า เพื่อลดปัญหาสิว ฝ้า และกระ ให้ดูจางลง และอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ขั้นตอนการฉีด Radiesse หลังจากที่เราทราบแล้วว่า Radiesse ช่วยในเรื่องอะไร เรามาดูกันต่อว่า ขั้นตอนการฉีด Radiesse จะมีอะไรบ้าง? คำแนะนำหลังจากฉีด Radiesse เมื่อทำการฉีด Radiesse เสร็จ เพื่อให้การฉีด Radiesse เห็นผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เราควรดูแลตัวเองอย่างไร มาดูกันได้เลย ผลข้างเคียงจากการฉีด Radiesse การฉีด Radiesse อาจจะมีผลข้างเคียงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการมีรอยแดง รอยช้ำ หรืออาการคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลเพราะอาการเหล่านี้สามารถหายได้เอง แต่หากรู้สึกปวดบริเวณที่ฉีด ให้รับประทานยาแก้ปวดเช่น paracetamol (ควรเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID) และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณนั้น เพราะอาจจะทำให้แผลเกิดการติดเชื้อได้ รวมถึงหากผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีสีซีดลง แดงคล้ำ หรือ ปวดผิดปกติมากขึ้น ให้เข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในทันที ฉีด Radiesse อันตรายหรือไม่? Radiesse ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอาหารและยาของประเทศไทย จึงมั่นใจได้ว่าไม่อันตราย เพราะสารกระตุ้นคอลลาเจนชนิด CaHA นี้ พบได้ในกระดูกและฟันของเราอยู่แล้ว ปัจจุบันก็มีการนำสารชนิดนี้มาใช้ปลูกถ่ายกระดูกและการรักษาฟัน จึงมั่นใจได้ว่าสามารถนำมาใช้ในหัตถการความงามได้อย่างปลอดภัย ผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ : ฉีดฟิลเลอร์คางดีไหม ช่วยสร้างกรอบหน้าให้คมชัด เพิ่มมิติให้ใบหน้า คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับ Radiesse Radiesse อยู่ได้นานแค่ไหน? ผลลัพธ์ของการฉีด Radiesse จะอยู่ได้เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งที่ฉีด สภาพผิวหน้า และอายุ การดูแลตัวเองหลังฉีด การพักผ่อน ความเครียด หลังจากฉีด Radiesse ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล? ผลลัพธ์ของการฉีด Radiesse จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยหลังจากฉีด Radiesse ยาจะออกฤทธิ์ยกกระชับผิว และทำให้ร่องลึกต่าง ๆ ตื้นขึ้นทันที สำหรับระยะยาวประมาณ 3-4 สัปดาห์ ตัวยาจะเริ่มมีการกระตุ้นคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวหน้ากระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับใบหน้า ฟื้นฟูผิวหน้าให้มี Volume มากขึ้น Radiesse สามารถทำควบคู่หัตถการอื่นได้หรือไม่ ? คุณสามารถทำหัตถการอื่นรวมกับการฉีด Radiesse ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Sculptra หรือ เมโสหน้าใส แต่แนะนำว่า ควรเว้นระยะในการทำหัตถการอื่น ๆ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ Radiesse ควรฉีดต่อเนื่องหรือไม่? Radiesse สามารถฉีดต่อเนื่องได้ แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล จึงแนะนำว่า ให้ฉีดต่อเนื่องในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น สรุปเกี่ยวกับ Radiesse Radiesse เป็นนวัตกรรมในการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่นอกจากจะช่วยเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้าแล้ว ยังช่วยให้โครงสร้างบนผิวหน้าดูดีขึ้นจากภายใน ด้วยประสิทธิภาพในการเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวกระชับ ช่วยลดริ้วรอยบริเวณร่องลึก อีกทั้งยังฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น หมดปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเมื่อมีอายุมากขึ้น หากใครกำลังหาคลินิกดูแลผิวหน้า ที่ Infiniz Clinic มีนวัตกรรมทางการแพทย์ตอบโจทย์การปรับรูปหน้าและผิวพรรณโดยไม่ศัลยกรรมหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารูปหน้าปรับสภาพผิวให้อ่อนเยาว์โดยการใช้เครื่องมือที่รองรับมาตรฐานผ่านอย. จากไทยและต่างประเทศ โดยทีมแพทย์หมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์วิทยากรผู้สอนการฉีดฟิลเลอร์ สารลดเรือนริ้วรอย และ Collagen Biostimulator ระดับต้น ๆ ของประเทศ ประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์มามากกว่า 15 ปี มาพร้อมกับรางวัลการันตีในความสามารถมากมาย และหลากหลาย หากท่านใดสนใจฉีดฟิลเลอร์ Radiesse หรือ sculptra รวมทั้งหากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับยี่ห้อฟิลเลอร์ ก็สามารถติดต่อสอบถามทางคุณหมอและทีมงานได้ตามช่องทางดังนี้ References Gotter, A. (2018, April 21). Radiesse: What You Need to Know. Healthline. https://www.healthline.com/health/radiesse Radiesse. (n.d.). PATIENT INFORMATION GUIDE. https://radiesse.com/app/uploads/2023/06/IN00197-01.pdf
คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra
คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra ในฐานะ Modurator แก่ Dr Jeff Huang From Taiwan ที่งานประชุมนานาชาติ International Congress Aesthetics Dermatology : ICAD 2023 ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่24 พฤศจิกายน 2566 ความรู้ความเข้าใจในสารกระตุ้นการสร้างคอลาเจน (Collagen Biostimulators) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้สารดังกล่าวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับโครงสร้างผิวและความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ในส่วนของตัว Sculptra หมอขออธิบายง่ายๆ คือส่วนประกอบหลักในการกระตุ้นให้ร่างกายเรามีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาได้นั้น คือตัว PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีใช้ทางการแพทย์มาอย่างแพร่หลายในรูปแบบไหมละลาย และวัตถุในขบวนการศัลยกรรมเสริมสร้าง (Reconstructive surgery) จึงมีความปลอดภัยสูงและจะมีการย่อยสลายช้าๆ ผ่านกระบวนการทำลายตามธรรมชาติของร่างกายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 2 ปี การเหนี่ยวนำให้ร่างกายมีการผลิต Fibroblast (เซลล์ต้นทางในการผลิต คอลลาเจน) อาศัยขบวนการทำงานทางธรรมชาติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดขบวนการอักเสบบวม แดง ร้อน ต่อผิวหนังแต่อย่างไร โดยขบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นแบบเล็กน้อยและค่อยเป็นค่อยไปจนเสร็จสมบูรณ์ทีประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดังนั้น ผู้รับบริการควรรอผลการกระตุ้นคอลลาเจนหลังจากฉีดตัว Sculptra ไปแล้วประมาณ1 เดือน นั่นคือผลที่ค่อนข้างชัดเจนและเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรม เช่น ผิวที่ได้ดูอ่อนเยาว์ลง ริ้วรอยลดลง เฟริมกระชับ และ กระจ่างใสมากขึ้นในรายงานการวิจัยสมัยใหม่ด้วยการผสมตัว Sculptra ด้วยสัดส่วนที่เจือจางพอดีจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด โดยปราศจากผลข้างเคียงที่อันตรายแต่อย่างใด และในมือแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงผลข้างเคียง เช่น ก้อนเล็กๆ (nodules)ที่เกิดขึ้นได้ ย่อมแทบจะไม่ปรากฏหลังรับบริการ นอกจากนี้ การนวด (Sculptra massage) จะช่วยให้ผลการกระตุ้นคอลลาเจน ดีมากขึ้น ตลอดจนลดผลข้างเคียงดังกล่าวอีกด้วย ในขั้นตอนการรักษาด้วย Sculptra Multidimensions (Sculptra treatment by Infiniz clinic) -การวิเคราะห์ปัญหาผิวพรรณ ตลอดจนโครงสร้างผิวร่วมถึงการวางแผนการรักษาด้วย Sculptra เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำด้วยความถูกต้อง เพื่อกำหนดแนวทางและขอบเขตของคอลลาเจนที่จำมีการสร้างขึ้นให้ได้ในอัตราส่วนและสร้างรูปหน้าใหม่ที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติ ไม่ผิดสัดส่วน -การผสม PLLA ใน Sculptra ด้วยอัตราส่วนที่ถูกต้องต่อการรักษาในแต่ละบริเวณมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นก่อนทำการรักษาแพทย์จำเป็นต้องมีการตรวจสภาพผิวโดยละเอียด และวางแผนการรักษาร่วมกับผู้รับบริการอย่างเหมาะสม เพื่อการกำหนดสัดส่วนการผสมตัว Sculptra ได้อย่างเหมาะสม -การกำหนดจุดฉีดก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ ในผู้รับบริการบางราย การฉีด Sculptraในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะเกิดผลข้างเคียงทำให้ใบหน้าเกิดความไม่เรียบเนียน หรือ ใบหน้าผิดสัดส่วนได้จึงจำเป็นต้องอาศัยการคำนวณโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์สูงอย่างแม่นยำร่วมกับการจัดวางกระจายตัวยาอย่างเหมาะสม -การดูแลหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการความงามทุกชนิด ประมาณ 2-4สัปดาห์ เพื่อรอให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด หลีกเลี่ยงความร้อน และ ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ร่วมกับ วิตามิน Cเพื่อช่วยให้การสร้างคอลลาเจนได้ผลดีที่สุด -ในกรณีที่สภาพปัญหาขาดคอลลาเจนมาก หรือ ปัญหาผิวที่ต้องการ การฟื้นฟูต่อเนื่อง สามารถรับการฉีด Sculptra ได้ 2-3 รอบ ห่างกัน ประมาณ 6-8สัปดาห์ โดยการเว้นระยะที่เหมาะสมก็เพื่อต้องการให้ผิวมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่เพื่อการประเมินการรักษาใหม่จึงจะสามารถทำได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเหมาะสม นั่นเอง -ก่อนทำการรักษาด้วย Sculptra แนะนำให้ผู้รับบริการปรึกษาแพทย์ที่จะทำการรักษาก่อน เพื่อประเมินความเหมาะสมและ สภาพปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแพทย์จะสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องเพื่อผลลัพธ์ที่ดูดีถูกใจผู้รับบริการนั่นเอง
หมออู๋ รับบท speaker บรรยาย และ สาธิตงานฉีด Sculptra แก่แพทย์ความงาม
หมออู๋ รับบท speaker บรรยาย และ สาธิตงานฉีด Sculptra แก่แพทย์ความงาม ที่ Tria Medical wellness Center ในส่วนของงานสอนในวันนี้ เป็น การให้ความรุ้ถึงคุณสมบัติของ collagen biostimulator PLLA-SCULPTRA ในการกระตุ้นให้ผิวของเราสร้างคอลลาเจนได้อย่างไร รวมทั้งจุดเด่นในการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างชัดเจน แต่ยังคงความปลอดภัยสุงสุด โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆหลังทำ โดยคุณหมออู๋ได้อธิบายถึงการประเมินสภาพปัญหาผิวและต่อด้วย การดีไซน์กำหนดจุดฉีด รวมถึงต้องทำการฉีดในชั้นผิวระดับความลึกที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุดเท่านั้นโดยจะมีระดับความลึกที่แตกต่างกันออกไปในผู้รับบริการแต่ละท่าน ขั้นตอนการดีไซน์รุปหน้าและกำหนดจุดฉีด เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ดังนั้น คุณหมออู๋ จึงใช้เวลาการออกแบบการรักษาและกำหนดจุดฉีดอย่าละเอียดแก่แพทย์ที่เข้าร่วม work shop เพื่อเป็นข้อมุลสำคัญก่อนที่แพทย์ผู้เรียนจะเริ่มทำการฉีด และ สามารถนำไปใช้ต่อใน Practice ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากผลข้างเคียง ติดตามชมภาพคุณหมออู๋ กับ งานสอน sculptra กันได้เลยค่ะ
ตามหมออู๋ มา Update ความรุ้กับงานประชุม GAIN Global @Dubai 2023
คุณหมออู๋ ณัฐพล บินร่วมงานประชุม update ความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ และศึกษารูปแบบการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ใช้ในการฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (collagen biostimulator) Global GAIN ณ เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรส ในฐานะแพทย์วิทยากรผู้สอนสารลดเรือนริ้วรอยและสารเติมเต็ม HA FILLER จากประเทศไทยร่วมกับแพทย์อื่นๆทั่วโลก ในการประชุมครั้งนี้ ได้ มีการ update ความรู้ที่น่าสนใจ ในส่วนของ Anatomy จาก World speaker Prof. Sebastian Cotofana (Anatomist) ในองค์ประกอบของการจัดเรียงตัวของชั้นไขมันในแต่ละส่วนของผิวหน้า มีความแตกต่างกันอย่างมาก เช่นบริเวณคางจะมีองค์ประกอบของชั้นไขมันที่เหนียวและแข็งแรงมากกว่า บริเวณใต้คางที่มีความอ่อนนุ่มและมีคอลลาเจนที่น้อยกว่า ดังนั้นการเลือกใช้ HA filler หรือ Collagen biostimulator จึงต้องเลือกทั้งชนิดและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อีกส่วนที่สำคัญคือ โครงสร้าง Anatomy บริเวณริมฝีปากคือภายในเนื้อริมฝีปากจะมี โครงสร้างที่มีชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกั้นแต่ละส่วนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่แพทย์ต้องทำความเข้าใจ เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบการเติมฟิลเลอร์ปากเพื่อปรับแก้ไขปัญหา หรือ สร้างทรงริมฝีปากใหม่ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังได้มีการ Update ความรู้ในเรื่องของการใช้เทคนิคผสมผสาน การฉีดสารลดเรือนริ้วรอย สารเติมเต็ม และ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen biostimulator) โดยการกำหนดจุดฉีดที่เหมาะสมและแก้ไขปัญหาได้หลากหลาย ในทุกชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องด้วย การใช้ Injectable products มีหลากหลาย การเลือกใช้ตัวยาที่มีความเฉพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหา ย่อมได้ผลชัดเจน และ ปราศจากผลข้างเคียงจากภาวะ Overfill Syndrome อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการดูงานในส่วน exhibition จาก Global medical affair โดยได้มีการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การคิดค้น ส่วนผสมของทุกผลิตภัณฑ์ เช่น Restylane filler, ABO Botulinum Toxin, PLLA of Sculptra ตลอดจน ข้อมุลทางงานวิจัยที่ทันสมัยที่นำเสนอผลการรักษา และ ผลข้างเคียงต่างๆ ไว้อย่างละเอียดครบถ้วน เพื่อนำมาปรับใช้ให้ผู้รับบริการได้ผลการรักษาที่ชัดเจน โดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “Concept of personalization” การได้เห็นรูปแบบการปรับรูปหน้าใหม่ๆ กับเคสที่หลากหลายเชื้อชาติ เช่น East Asians, South East Asians, Europeans, Arabians, Americans and latinos ทำให้มีความเข้าใจ concept of beauty ที่มีความชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในส่วนของงานฉีดฟิลเลอร์และสารลดเรือนริ้วรอย จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างดี เพื่อนำมาใช้พัฒนางานปรับรูปหน้าเฉพาะบุคคลให้ได้ผลที่สวยงามตามคุณลักษณะของสัดส่วนใบหน้าของผู้รับบริการแต่ละรายนั่นเอง