ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนแก้ไขได้อย่างไร ฉีดสลายได้หรือไม่?
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เป็นปัญหาที่พบได้ค่อนข้างมาก จากกรณีการฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือฉีดฟิลเลอร์โดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อีกทั้งการที่ฟิลเลอร์เป็นก้อนยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ในบทความนี้ Infiniz Clinic จะพาทุกคนไปเรียนรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนใต้ตา รวมไปถึงวิธีป้องกันและวิธีแก้ไขปัญหานี้ ปัจจัยที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนมีอะไรบ้าง? ปัจจัยที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนมีหลายประการ โดยปัจจัยที่สามารถพบได้บ่อยมีดังต่อไปนี้ 1. ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับพื้นที่บริเวณที่ฉีด ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วกลายเป็นก้อนอาจเกิดจากการที่ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับบริเวณที่ฉีด มีการฉีดในปริมาณมากเกินไปสำหรับพื้นที่ใต้ตา โดยเมื่อเวลายิ้มกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะหดตัวขึ้น ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ผิวหนังที่มีปริมาณมากเกินไปจนไม่เรียบเนียนไปกับผิว จะถูกดันขึ้นจนเห็นเป็นก้อนได้ 2. ฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นฟิลเลอร์ปลอม หากฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรับรองจากอย. หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอม ก็สามารถทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากลายเป็นก้อนได้เช่นกัน เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมมักเป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวรหรือซิลิโคน ซึ่งสามารถจับตัวกันเป็นก้อนและไหลย้อยไม่เป็นทรงหลังจากเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง แต่ไม่สลายไปเองตามธรรมชาติเหมือนฟิลเลอร์มาตรฐาน อีกทั้งฟิลเลอร์ปลอมยังไม่สามารถฉีดสลายเหมือนฟิลเลอร์มาตรฐานได้อีกด้วย จะต้องทำการผ่าตัดหรือขูดฟิลเลอร์ออกเท่านั้น 3. ฉีดฟิลเลอร์ไม่ถูกตำแหน่ง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ถูกตำแหน่ง เช่น การฉีดบริเวณเหนือกล้ามเนื้อ หรือการฉีดบริเวณผิวชั้นตื้น ก็สามารถทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตากลายเป็นก้อนได้ เนื่องจากผิวบริเวณใต้ตาจะมีความบางเป็นอย่างมาก หากฉีดไม่ถูกตำแหน่งก็จะสามารถสังเกตเห็นว่าเป็นก้อนได้อย่างง่ายดาย 4. แพทย์ที่ให้บริการมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ หากแพทย์ที่ให้บริการการฉีดฟิลเลอร์มีความรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์และประสบการณ์ในการฉีดมาไม่มากพอ ก็อาจทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาพลาดแล้วกลายเป็นก้อนบวมได้ โดยอาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นกล้ามเนื้อ การเลือกฟิลเลอร์ในยี่ห้อและรุ่นที่ไม่เหมาะสมกับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เป็นต้น 5. พื้นผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์บางจนเกินไป โดยปกติพื้นผิวบริเวณใต้ตาจะมีความบางอยู่แล้ว แต่ถ้าหากคนไข้มีลักษณะเป็นคนผิวบางโดยธรรมชาติอยู่ด้วย ก็จะสามารถสังเกตเห็นฟิลเลอร์ใต้ตาในลักษณะเป็นก้อนหรือเงาสีเขียวได้ แม้จะฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณและตำแหน่งที่ถูกต้องก็ตาม อาการหลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน อาการหลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน สามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ กรณีที่เกิดการอักเสบซึ่งมีความอันตราย กับกรณีที่ไม่ได้เกิดการอักเสบ เป็นแค่ผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น โดยวิธีสังเกตความผิดปกติจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนมีดังนี้ กรณีเกิดการอักเสบหลังจากฉีดฟิลเลอร์ หากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเกิดเป็นก้อนในลักษณะที่มีการอักเสบ จะมีอาการปวดมากกว่าปกติซึ่งควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและแก้ไขความผิดปกติโดยเร็วที่สุด โดยอาการอักเสบที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด ได้แก่ กรณีไม่เกิดการอักเสบหลังจากฉีดฟิลเลอร์ อาการฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนสามารถเกิดในลักษณะที่ไม่มีการอักเสบได้เช่นกัน โดยหลังฉีดฟิลเลอร์ช่วง 3 วันแรก ผิวบริเวณใต้ตาจะสามารถเห็นเป็นก้อนบวมได้เป็นปกติ แต่จะไม่มีอาการเจ็บปวดหรือบวมแดงร่วมด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปก้อนบวมก็จะค่อย ๆ ยุบลงไปเอง หากก้อนใต้ตามีอาการแย่ลงหรือไม่ยุบลงตามปกติหลังผ่านไป 2 สัปดาห์แล้ว ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและแก้ไขความผิดปกติต่อไป วิธีป้องกันไม่ให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วกลายเป็นก้อน อาการฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการเลือกทำหัตถการกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากแพทย์ที่เคยทำหัตถการมามาก จะสามารถเลือกใช้ปริมาณฟิลเลอร์และเลือกตำแหน่งชั้นผิวที่ฉีดได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังต้องใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดก้อนใต้ตาที่ไม่สามารถฉีดสลายออกได้จากฟิลเลอร์ปลอม แก้ปัญหาฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนได้อย่างไรบ้าง? สามารถแก้ปัญหาฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อนได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ 1. ขูดฟิลเลอร์ ในกรณีที่คนไข้ไม่ได้เลือกใช้ฟิลเลอร์ผ่านมาตรฐานที่ทำมาจากสาร Hyaluronic Acid หากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องทำการขูดฟิลเลอร์ออก เนื่องจากฟิลเลอร์ปลอมจะไม่สามารถฉีดสลายหรือสลายไปเองตามธรรมชาติได้ อีกทั้งการขูดฟิลเลอร์ออกก็สามารถเอาออกได้เพียง 60-70% เท่านั้น ไม่สามารถเอาออกได้ทั้งหมดจนกลับคืนสู่สภาพผิวปกติ 2. ผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ออก การผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ออก จะใช้ในกรณีที่ฟิลเลอร์ใต้ตามีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่และแข็งมาก ซึ่งเกิดได้จากการที่คนไข้ได้รับการฉีดฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปเป็นระยะเวลานาน จนเกิดเป็นพังผืดเกาะอย่างเหนียวแน่น และก้อนฟิลเลอร์มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะสามารถขูดออกได้ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเอาออกเท่านั้น 3. ฉีดสลายฟิลเลอร์ หากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ แล้วต้องการที่จะฉีดสลายฟิลเลอร์ออก ก็สามารถทำได้ต่อเมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเป็นฟิลเลอร์ผ่านมาตรฐานที่ทำมาจากสาร Hyaluronic Acid ซึ่งสามารถฉีดสลายได้ด้วยตัวยา Hyaluronidase เท่านั้น ทั้งนี้ คนไข้ควรแจ้งแพทย์ถึง ชนิด ยี่ห้อ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ได้รับการฉีดมา เพื่อที่แพทย์จะได้คำนวณปริมาณตัวยาที่ต้องใช้ในการฉีดสลายได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากที่สุด ดูแลตัวเองอย่างไรดี ไม่ให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน วิธีดูแลตัวเองไม่ให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วกลายเป็นก้อน สามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตาที่กลายเป็นก้อน ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อนสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุปัจจัย เช่น ใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไป ฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฉีดฟิลเลอร์ไม่ถูกตำแหน่ง หรือแพทย์ผู้ทำหัตถการไม่มีประสบการณ์มากพอ โดยอาการใต้ตาเป็นก้อนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการเลือกทำหัตถการกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์มามากมาย เนื่องจากแพทย์ที่เคยทำหัตถการมามาก จะสามารถเลือกใช้ปริมาณฟิลเลอร์และเลือกตำแหน่งชั้นผิวที่ฉีดได้อย่างเหมาะสม เลือกฉีดฟิลเลอร์ได้มาตรฐาน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเป็นก้อนใต้ตา หากไม่รู้ว่าควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ขอแนะนำ Infiniz Clinic ด้วยทีมแพทย์มากประสบการณ์และแพทย์เฉพาะทาง แก้ไขปัญหาใต้ตาของแต่ละคนด้วยการฉีดฟิลเลอร์เทคนิคพิเศษเฉพาะของ Infiniz Clinic เท่านั้น นำทีมแพทย์โดยคุณหมออู๋ นพ.ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์วิทยากรผู้สอนและอาจารย์พิเศษรับเชิญทางด้านเวชศาสตร์ความงามทางด้านการฉีดฟิลเลอร์ และสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมามากกว่า 15 ปี การันตีด้วยรางวัลปรับรูปหน้าโดยไม่ศัลยกรรมและรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายตั้งแต่ปี 2018-2023 สอบถามข้อมูลราคาฟิลเลอร์ใต้ตาได้ที่ช่องทางด้านล่าง References Christiano, D. (2019, July 12). Side Effects of Facial Fillers. Healthline. https://www.healthline.com/health/facial-fillers-side-effects Jung, H. (2020). Hyaluronidase: An overview of its properties, applications, and side effects. Archives of plastic surgery, 47(4): 297–300.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7398804/
ฟิลเลอร์ใต้ตาราคาเริ่มต้นเท่าไหร่ต่อปริมาณ 1 CC?
ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ขอบตาดำ ใต้ตาดูลึก ตาโหล ดูโทรม คงเป็นปัญหากวนใจของใครหลาย ๆ คน ที่ทำให้เกิดความกังวลว่าหน้าจะดูแก่และไม่สดใสก่อนวัยอันควร ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ เติมใต้ตาให้ดูเต็มและอิ่มฟูมากขึ้น ในบทความนี้ Infiniz Clinic จะพาทุกคนไปดูกันว่าฟิลเลอร์ใต้ตาราคาเท่าไร และควรเลือกใช้ยี่ห้อไหนดีถึงจะเหมาะสมกับการแก้ปัญหาใต้ตามากที่สุด ฟิลเลอร์ใต้ตาแต่ละยี่ห้อ ราคาเท่าไหร่? ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะมีราคา อายุการใช้งาน และคุณสมบัติในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน โดยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรจะใช้ยี่ห้อที่ตัวฟิลเลอร์มีความพอดีกับปัญหาร่องใต้ตา เนื้อเจลมีความคงตัวดี และกลืนไปกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งที่ Infiniz Clinic ฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีราคาอยู่ราว 16,500-26,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณที่ใช้ ส่วนจะเลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีในการฉีดใต้ตา สามารถดูรายละเอียดความแตกต่างของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นได้ดังนี้ Juvederm Ultra XC ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Juvederm รุ่น Ultra XC เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เนื้อเจลมีความนิ่ม เรียบเนียนไปกับผิวได้ดี สามารถอุ้มน้ำได้ค่อนข้างมาก เหมาะกับการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ อย่างร่องใต้ตา อีกทั้งยังสามารถฉีดเป็นฟิลเลอร์ร่องแก้มได้อีกด้วย มีอายุการใช้งานอยู่ได้นาน 9-12 เดือน ฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นนี้ราคาเริ่มต้นที่ 18,000 บาทต่อ 1 CC Juvederm Volite ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Juvederm รุ่น Volite เป็นฟิลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา ที่เนื้อฟิลเลอร์มีความละเอียดที่สุดในทุกรุ่น มีความบางเบา กลืนตัวและเรียบเนียนไปกับผิวได้ดีมาก เหมาะกับการฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ อย่างริ้วรอยใต้ตาและรอบดวงตา สามารถอยู่ได้นาน 9-12 เดือน ฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นนี้ราคาเริ่มต้นที่ 18,000 บาทต่อฟิลเลอร์ 1 CC Juvederm Volift สำหรับฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Juvederm รุ่น Volift เนื้อฟิลเลอร์จะมีความนิ่มปานกลาง เรียบเนียนไปกับผิวได้ดี มีความคงตัวสูง เหมาะกับการเติมเต็มและฉีดบริเวณผิวที่มีปัญหาร่องลึกระดับกลาง สามารถฉีดบริเวณใต้ตาชั้นลึกเพื่อแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาและเบ้าตาโหลได้ อีกทั้งยังสามารถฉีดเป็นฟิลเลอร์ปากเพื่อปรับรูปทรงปากให้ดูอวบอิ่มสวยงามได้อีกด้วย ฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นนี้ราคาเริ่มต้นที่ 18,000 บาทต่อ 1 CC อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน Restylane Vital ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Restylane รุ่น Vital เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน ที่เนื้อฟิลเลอร์มีขนาดอนุภาคที่ค่อนข้างใหญ่ มีความคงตัวสูง สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการฉีดเพื่อเติมเต็มและแก้ปัญหาร่องลึกใต้ตา อีกทั้งยังสามารถฉีดเป็นฟิลเลอร์ขมับเพื่อเติมให้ใบหน้าดูเต็มยิ่งขึ้นได้อีกด้วย ฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นนี้ราคาเริ่มต้นที่ 16,500 บาทต่อ 1 CC อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน Restylane Vital Light ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Restylane รุ่น Vital Light เป็นฟิลเลอร์ที่มีขนาดอนุภาคเล็กและละเอียดเป็นอย่างมาก มีส่วนผสมของยาชา และมีความนิ่มที่สุดในทุกรุ่นของยี่ห้อ Restylane เหมาะกับการใช้ฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกใต้ตา สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นนี้ราคาเริ่มต้นที่ 16,500 บาทต่อ 1 CC Restylane Defyne ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อ Restylane รุ่น Defyne เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่เนื้อเจลมีความแข็งและขึ้นทรงมากที่สุดในทุกรุ่น แต่ยังสามารถกลืนไปกับผิวได้ดี เรียบเนียนดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการฉีดเสริมเติมร่องลึกใต้ตาที่มีความยุบตัวมาก และยังสามารถฉีดเป็นฟิลเลอร์คางหรือฟิลเลอร์โหนกแก้ม เพื่อปรับโครงสร้างใบหน้าได้อีกด้วย ฟิลเลอร์ใต้ตารุ่นนี้ราคาเริ่มต้นที่ 18,000 บาทต่อ 1 CC อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน โปรโมชัน ฟิลเลอร์ใต้ตาราคาพิเศษ ทาง Infiniz Clinic ได้มีการจัดโปรโมชันฟิลเลอร์ใต้ตาราคาพิเศษสำหรับลูกค้าทุกท่าน ทั้งยี่ห้อ Juvederm และยี่ห้อ Restylane โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้กับทาง Facebook : Infiniz Clinic หรือทาง Line ID: @Infinizclinic >> อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ “ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน“ สรุปเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตามีราคาเท่าไรบ้าง? สำหรับใครที่ต้องการจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาผิวบริเวณใต้ตา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาริ้วรอย ขอบตาดำ ใต้ตาดูลึก หรือตาโหล ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการฉีดเป็นอย่างมาก หากสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม คนไข้ก็จะได้รับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาในราคาที่เหมาะสมและผลลัพธ์ที่พึงพอใจมากที่สุด โดยสำหรับที่ Infiniz Clinic ฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีราคาเริ่มต้นที่ 16,500-18,000 บาทต่อ 1 CC ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี? ทาง Infiniz Clinic จึงแนะนำให้เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ผ่านการรับรองจากอย. และให้บริการโดยสถานพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการของคุณมากที่สุด โดย Infiniz Clinic คลินิกหัตถการความงามโดยแพทย์เฉพาะทางและมากประสบการณ์ ปรับรูปหน้าของแต่ละคนด้วยการฉีดฟิลเลอร์เทคนิคพิเศษเฉพาะของ Infiniz Clinic เท่านั้น โดยคุณหมออู๋ นพ.ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์วิทยากรผู้สอนและอาจารย์พิเศษรับเชิญทางด้านเวชศาสตร์ความงามทางด้านการฉีดฟิลเลอร์ และสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมามากกว่า 15 ปี การันตีด้วยรางวัลปรับรูปหน้าโดยไม่ศัลยกรรมและรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายตั้งแต่ปี 2018-2023 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางนี้ References Where is JUVÉDERM® used?. (2023, May 3).JUVÉDERM® Collection of Fillers. https://www.juvederm.com/volume-loss#under-eyes-faq-content Q-Med AB. (2023). Instructions for use Restylane Defyne, US. Galderma Laboratories, L.P. https://www.restylaneusa.com/docs/Restylane-Defyne-IFU
ยกกระชับด้วย Sculptra® Multidimensions
ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี แก้ใต้ตาหมองคล้ำ เป็นแววตาใสปิ๊ง
ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน จะเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี มีรุ่นอะไรบ้างที่เหมาะกับฉีดใต้ตา ที่นี่มีคำตอบ
Infiniz Clinic ได้รับรางวัล คลีนิกที่มียอดใช้โปรแกรมฟิลเลอร์ และ โปรแกรมสารลดเรือนริ้วรอย สูงสุดระดับประเทศ
Infiniz Clinic และ คุณหมออู๋ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับเชิญในงาน Allergan Award Night 2023เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยได้รับรางวัลคลีนิกที่มียอดใช้สารลดเรือนริ้วรอยจากอเมริกา และ ฟิลเลอร์ ของบริษัท Allergan สูงสุดในประเทศ คุณหมออู๋ และ อินฟินิช คลินิก ขอขอบคุณผู้รับบริการทุกท่านมา ณ ที่นี้ และ ขอสัญญาจะสร้างสรรค์โปรแกรมการฉีดสารลดเรือนริ้วรอย และโปรแกรมฟิลเลอร์ เพื่อความเป็นเลิศทางการรักษาผิวพรรณและการปรับรูปหน้าแบบไม่ศัลยกรรมเพื่อผู้รับบริการทุกท่านต่อไปค่ะ
บรรยากาศงาน 𝗔𝗟𝗟𝗨𝗥𝗘 𝗡𝗜𝗚𝗛𝗧 2023
บรรยากาศงาน ✨⭐️𝗔𝗟𝗟𝗨𝗥𝗘 𝗡𝗜𝗚𝗛𝗧 : 𝘈 𝘚𝘵𝘢𝘳𝘭𝘪𝘵 𝘑𝘰𝘶𝘳𝘯𝘦𝘺 𝘰𝘧 𝘛𝘳𝘪𝘶𝘮𝘱𝘩 𝘪𝘯 𝘈𝘤𝘩𝘪𝘦𝘷𝘦𝘮𝘦𝘯𝘵 & 𝘈𝘸𝘢𝘳𝘥 𝘈𝘱𝘱𝘳𝘦𝘤𝘪𝘢𝘵𝘪𝘰𝘯 2023 ⭐️✨ ในค่ำคืนวันที่ 20 ธันวาคม 2023 คุณหมออู๋ได้รับเชิญร่วมงานในฐานะ KOL ของแบรนด์ Pure Bim Hydrating Gel Mask หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Skin O’Clock Mask และในครั้งนี้ Ininiz Clinic ยังได้รับรางวัลคลีนิกที่มียอดใช้ Skin O’clock Mask สูงสุดประจำปี 2023 อีกด้วย Skin O’Clock มาส์กสำหรับผิวหน้า นวัตกรรมใหม่ล่าสุด Import จากประเทศเกาหลี ด้วยลิขสิทธิ์เฉพาะของ Skin O’Clock Hydrogel ทำให้แผ่นมาร์คทุกชิ้น Sterile ผ่าน Electron Beam จึงสามารถใช้หลังทำเลเซอร์หรือหัตถการความงามต่างๆ ได้ทันที ช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยแดงและลดอุณหภูมิทันทีที่แปะมาส์ก AllureNight2023
คุณหมออู๋แนะนำการดูแลผิวแห้งในช่วงอากาศหนาว
“Winter Itch” หรือ “Winter Xerosis” ภาวะผิวแห้งขาดน้ำในฤดูหนาว เกิดจาก ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่ลดลงเช่นเดียวกับการเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นนอกที่ลดน้อยลงตามสภาพอากาศภายนอกนั่นเอง โดยอาการดังกล่าวจะเกิดได้ง่ายใน คนที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่ายอยู่แล้ว ผู้ป่วยภูมิแพ้ผิวหนังที่มักจะมีเซลล์ผิวที่เก็บกักน้ำได้น้อยอยู่แล้วอาการจึงกำเริบในช่วงฤดูหนาว หรือคนทั่วไปที่การดูแลผิวไม่ถูกต้องตามสภาพอากาศที่แห้ง และหนาวเย็นลงย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะผิวแห้งขาดน้ำเช่นกัน เช่น การใช้สบู่ที่ขจัดน้ำมันส่วนเกินที่ผิวมากเกินไป การเปิด Heater หรือแม้แต่การมีกิจวัตรประจำวันกลางแสงแดดเป็นระยะเวลานานโดยไม่ทาครีมกันแดดที่เหมาะสม โดยอาการที่พบส่วนมาก มักมีอาการคันตามผิวหนัง ระคายเคืองง่าย ผิวหนังอักเสบเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกตินั่นเอง ภาวะผิวแห้งในหน้าหนาว เป็นภัยร้ายต่อผิวในหลากหลายมิติ โดยสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดผื่นแพ้ (Eczema) เรื้อรังและรักษายากในระยะยาว จนเกิดเป็นภาวะแผลเป็นแข็งนูนตามมา หรือ มีการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ไวรัสหูดบางชนิดได้ ในผิวที่เป็นผื่นแพ้เนื่องจากภูมิคุ้มกันผิวค่อนข้างอ่อนแอนั่นเอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณที่สูญเสียการเก็บน้ำในช่วงหน้าหนาวเพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว วิธีการดูแลผิวแบบง่ายๆในช่วงอากาศหนาวมีดังนี้ -การใช้ moisturizing skin care ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังและเก็บกักน้ำไว้ใต้ผิว รวมทั้งเคลือบผิวได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ Humectants ช่วยดึงดูดโมเลกุลของน้ำเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ประกอบไปด้วย ceramides (pronounced ser-A-mids), glycerin, sorbitol, hyaluronic acid, and lecithin Sealing substances ช่วยซีลปิดเพื่อกันการระเหยของน้ำออกจากเซลล์ผิว ได้แก่ petrolatum (petroleum jelly), silicone, lanolin, and mineral oil Emollients เช่น linoleic, linolenic, and lauric acids มีบทบาทช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวให้มีประสิทธิภาพในการเก็บน้ำและน้ำมันที่สำคัญในระดับเซลล์ไว้ให้มีประสิทธิภาพในการสร้างความชุ่มชื้นต่อผิวได้อย่างดีเยี่ยม คงทนต่อสภาพอากาศหนาวได้ดี -อาจเพิ่มเครื่องปล่อยความชุ่มชื้นในอากาศ (Humidifier) เพื่อทำให้บรรยากาศ และ ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น -ใช้สบู่ที่มี Moisterizer บำรุงผิวเสมอได้แก่ Dove, Olay, and Basis หรือCleansers ที่ไม่มีสบู่ เช่น Cetaphil, Oilatum-AD, and Aquanil. แทนสบู่ปกติ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหลังอาบน้ำ แล ระยะเวลาในการอาบน้ำควรจำกัดลดลงแค่ 5-10 นาที ต่อครั้ง และไม่บ่อยเกินไป จนทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น -ควรลดการอาบน้ำอุ่นจัด เพราะ น้ำอุ่นจะละลาย Natural oil ที่ติดอยู่ที่ผิวออกไป ทำให้ผิวยิ่งแห้งลง -ควรหลีกเลี่ยง สบูที่มีน้ำหอม ระงับกลิ่น หรือ สบู่ที่ผสมแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะละลาย Natural oil ที่ผิวเราออกไปเช่นกัน -แนะนำทา Moisturizer บำรุงผิวทันทีหลังอาบน้ำหรือล้างมือ เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กลับคืนสู่ผิว -ควรใช้ผงซักฟอกที่ปราศจากน้ำหอม และ งดใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม -หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อขนสัตว์ ใยสังเคราะห์ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว -แนะนำทาครีมกันแดดที่มีสามารถกันได้ทั้ง UVA และ UVB เนื่องจากในช่วงหน้าหนาว แสงแดด สามารถทำร้ายผิวได้มากขึ้นจากผิวที่แห้งลง และ UV index ที่เพิ่มมากขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มี Moisturizer ผสมด้วยจะดีขึ้นในผู้มีภาวะผิวแห้ง -ก่อนโกนขน หรือหนวด แนะนำทา Shaving cream หรือ Oil บนผิวสักระยะหนึ่งก่อนเริ่มโกนเพื่อช่วยลดการระคายเคืองจากใบมีดโกนได้ -การทา Pretolatum เพื่อเคลือบปิดผิว แนะนำทาทีละน้อย เพื่อช่วยลดความเหนอะไม่สบายผิว อาจจะแนะนำเป็นทาทีละน้อย แต่ ทาบ่อยขึ้น -หากมีอาการคันจากผิวแห้ง ไม่ควรเกา แนะนำทา Moisturizer ที่ช่วยลดอาการคันได้ดี โดยอาจจะมีสาร Menthol ให้ความเย็นทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะติดเชื้อที่ผิวหนัง การเพิ่ม Skin Hydration ให้กับผิวด้วยโปรแกรม 3D Skinboosters ที่ Infiniz clinic โดยคุณหมออู๋ นพ.ณัฐพล ลาภเจริญกิจ มีโปรแกรมรักษาผิวขาดน้ำและสร้างความกระจ่างใส โดยได้รับความนิยมในช่วงหน้าหนาว ด้วยหลักการฉีดตัว Hyaluronic acid skinboosters เข้าไปสู่ชั้นหนังแท้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้เก็บกักน้ำสู่เซลล์ผิวชั้นลึก ผลที่ได้จึงเพิ่มน้ำให้กับเซลล์ผิว การทำงานของเซลล์ผิวกลับสู่ภาวะสมดุลย์มากขึ้น จึงทำให้ผิวเนียนนุ่ม เปล่งประกาย สดใส เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยลดลง ตลอดจน แลดูสุขภาพดีอีกด้วย ด้วยเทคนิคพิเศษเฉพาะตัวของโปรแกรม 3D Skinboostersด้วยการทำskin highlight & shading จะทำให้ผิวดูแวววาว มี Focused zone รับแสงจาก Light reflection และ มี Shading zone เกิดความละมุนใบหน้าเข้ารูปมากขึ้น นั่นเอง
Radiesse นวัตกรรมใหม่ในการกระตุ้นคอลลาเจน เน้นงานผิว
วันนี้ Infiniz Clinic จะมาทุกคนมาทำความรู้จัก “Radiesse” นวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะมาช่วยดูแลผิวหน้าของคุณให้สดใสจากภายใน เนื่องด้วยเมื่ออายุมากขึ้น การดูแลผิวหน้าด้วยการทาครีมบำรุงหรือการดื่มน้ำสะอาด อาจจะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างเพียงพอ และอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการแพทย์เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาผิวแทน สิ่งที่จะเป็นทางเลือกในการดูแลผิวหน้าให้กลับมาอ่อนเยาว์และดูสุขภาพดี คือ Radiesse หนึ่งในหัตถการที่จะมาช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้าของเราให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นคล้ายกับ Sculptra สำหรับใครที่อยากทราบว่า การฉีด Radiesse ราคาเท่าไหร่ และเราจะได้ประโยชน์จากฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ใบหน้าอย่างไรบ้าง ในบทความนี้ได้รวบรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับ Radiesse ไว้ให้คุณแล้ว Radiesse คืออะไร? Radiesse คือ สารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ชนิด CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวในชั้นใต้ผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนด้วยตนเอง และยังทำให้ผิวหน้าดูมี Volume อีกทั้งหลังฉีดเสร็จสามารถเห็นผลทันทีคล้ายการฉีดฟิลเลอร์อีกด้วย เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น ร่างกายและผิวพรรณก็จะเริ่มมีความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างผิวหนังเริ่มไม่สามารถสร้างคอลลาเจนได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับน้อยลง พอโครงสร้างผิวจากภายในเริ่มไม่แข็งแรง ผิวของเราจะเริ่มเกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจกับผิวหน้า ดังนั้น การดูแลผิวหน้าที่สำคัญ จึงต้องฟื้นฟูตั้งแต่ชั้นโครงสร้างผิวผ่านการเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า โดยการเลือกใช้วิธีกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Radiesse ให้ผิวหน้าของคุณดูดีได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น คุณสมบัติเด่นของ Radiesse หลังจากที่เราทราบกันแล้วว่า Radiesse สามารถช่วยฟื้นฟูผิวหน้า และเพิ่มความกระชับให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เรามาดูกันต่อว่า Radiesse จะมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างส่วนไหนบ้างที่เป็นผลดีต่อสภาพผิวของเรา การฉีด Radiesse เหมาะหรือไม่เหมาะสมกับใคร? ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse ฉีด Radiesse ราคาเท่าไหร่? การเติมสารคอลลาเจนแบบฉีดด้วย Radiesse สามารถทำได้ในหลากหลายตำแหน่งทั้งผิวหน้าและผิวกาย มีปริมาณ 1.5 CC ต่อ 1 หลอด โดยสามารถปรับความเข้มข้นได้เป็น 4.5 CC พร้อมสำหรับการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนและเติมเต็ม โดยราคาของ Radiesse จะเริ่มต้นที่ 34,900-50,000 บาท* ซึ่งจะมีความแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จะได้ฟิลเลอร์ 1 CC เท่านั้น *ราคาจะขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลที่เลือกเข้ารับบริการและเงื่อนไขอื่น ๆ ร่วมด้วย หากใครสนใจข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ : ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม อันตรายไหม การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีด บริเวณใดที่สามารถฉีด Radiesse ได้บ้าง? การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน เข้าใบหน้าด้วย Radiesse เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และเติมเต็ม มาทดแทนคอลลาเจนและอิลาสตินที่สร้างน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น สามารถทำการฉีด Radiesse ได้ในหลายตำแหน่ง ดังนี้ Radiesse แตกต่างกับวิธีการทำหัตถการอื่น ๆ อย่างไร? ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ Sculptra การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีด Sculptra ตรงที่คุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิว แม้ว่าทั้งคู่จะช่วยเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า แต่ Radiesse จะเน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจนในการเติมร่องลึกที่มีริ้วรอยต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม Volume ให้กับผิวหน้า ผลลัพธ์ของจากฉีดจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ในส่วนของการฉีด Sculptra จะเป็นการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิวหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าไม่กระชับ และเติมผิวให้มีความอิ่มฟู ผลลัพธ์ของจากฉีดจะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี ทั้งสองหัตถการยังสามารถทำการฉีดควบคู่กันไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ ฟิลเลอร์ การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ ตรงที่คุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิว โดยที่ Radiesse จะช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่มีร่องลึกและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหน้า มีระยะเวลาในการสลายตัวยาสูงสุดที่ 1-2 ปี ในส่วนของการฉีดฟิลเลอร์ จะมีส่วนช่วยให้ผิวมีการกักเก็บน้ำที่ดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และเติมเต็มผิวที่ไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์มีระยะเวลาในการสลายตัวยาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมีอีกทางเลือกคือการฉีดสลายฟิลเลอร์ อีกทั้งยังมีลักษณะตัวยาที่ต่างกับ Radiesse จึงเหมาะกับการฉีดผิวบริเวณติ้นที่ดีกว่า เช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก, ฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือ ฟิลเลอร์ขมับ เป็นต้น ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ เมโสหน้าใส การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีดเมโสหน้าใส ตรงที่ Radiesse จะเป็นการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้า เพื่อให้ผิวหน้ามีความกระชับมากยิ่งขึ้น แต่เมโสหน้าใสจะเป็นการฉีดวิตามินและสารสกัดจำเป็นต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหน้า เพื่อลดปัญหาสิว ฝ้า และกระ ให้ดูจางลง และอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ขั้นตอนการฉีด Radiesse หลังจากที่เราทราบแล้วว่า Radiesse ช่วยในเรื่องอะไร เรามาดูกันต่อว่า ขั้นตอนการฉีด Radiesse จะมีอะไรบ้าง? คำแนะนำหลังจากฉีด Radiesse เมื่อทำการฉีด Radiesse เสร็จ เพื่อให้การฉีด Radiesse เห็นผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เราควรดูแลตัวเองอย่างไร มาดูกันได้เลย ผลข้างเคียงจากการฉีด Radiesse การฉีด Radiesse อาจจะมีผลข้างเคียงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการมีรอยแดง รอยช้ำ หรืออาการคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลเพราะอาการเหล่านี้สามารถหายได้เอง แต่หากรู้สึกปวดบริเวณที่ฉีด ให้รับประทานยาแก้ปวดเช่น paracetamol (ควรเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID) และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณนั้น เพราะอาจจะทำให้แผลเกิดการติดเชื้อได้ รวมถึงหากผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีสีซีดลง แดงคล้ำ หรือ ปวดผิดปกติมากขึ้น ให้เข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในทันที ฉีด Radiesse อันตรายหรือไม่? Radiesse ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอาหารและยาของประเทศไทย จึงมั่นใจได้ว่าไม่อันตราย เพราะสารกระตุ้นคอลลาเจนชนิด CaHA นี้ พบได้ในกระดูกและฟันของเราอยู่แล้ว ปัจจุบันก็มีการนำสารชนิดนี้มาใช้ปลูกถ่ายกระดูกและการรักษาฟัน จึงมั่นใจได้ว่าสามารถนำมาใช้ในหัตถการความงามได้อย่างปลอดภัย ผู้ที่สนใจฉีดฟิลเลอร์ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ : ฉีดฟิลเลอร์คางดีไหม ช่วยสร้างกรอบหน้าให้คมชัด เพิ่มมิติให้ใบหน้า คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับ Radiesse Radiesse อยู่ได้นานแค่ไหน? ผลลัพธ์ของการฉีด Radiesse จะอยู่ได้เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งที่ฉีด สภาพผิวหน้า และอายุ การดูแลตัวเองหลังฉีด การพักผ่อน ความเครียด หลังจากฉีด Radiesse ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล? ผลลัพธ์ของการฉีด Radiesse จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยหลังจากฉีด Radiesse ยาจะออกฤทธิ์ยกกระชับผิว และทำให้ร่องลึกต่าง ๆ ตื้นขึ้นทันที สำหรับระยะยาวประมาณ 3-4 สัปดาห์ ตัวยาจะเริ่มมีการกระตุ้นคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวหน้ากระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับใบหน้า ฟื้นฟูผิวหน้าให้มี Volume มากขึ้น Radiesse สามารถทำควบคู่หัตถการอื่นได้หรือไม่ ? คุณสามารถทำหัตถการอื่นรวมกับการฉีด Radiesse ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Sculptra หรือ เมโสหน้าใส แต่แนะนำว่า ควรเว้นระยะในการทำหัตถการอื่น ๆ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ Radiesse ควรฉีดต่อเนื่องหรือไม่? Radiesse สามารถฉีดต่อเนื่องได้ แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล จึงแนะนำว่า ให้ฉีดต่อเนื่องในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น สรุปเกี่ยวกับ Radiesse Radiesse เป็นนวัตกรรมในการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่นอกจากจะช่วยเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้าแล้ว ยังช่วยให้โครงสร้างบนผิวหน้าดูดีขึ้นจากภายใน ด้วยประสิทธิภาพในการเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวกระชับ ช่วยลดริ้วรอยบริเวณร่องลึก อีกทั้งยังฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น หมดปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเมื่อมีอายุมากขึ้น หากใครกำลังหาคลินิกดูแลผิวหน้า ที่ Infiniz Clinic มีนวัตกรรมทางการแพทย์ตอบโจทย์การปรับรูปหน้าและผิวพรรณโดยไม่ศัลยกรรมหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารูปหน้าปรับสภาพผิวให้อ่อนเยาว์โดยการใช้เครื่องมือที่รองรับมาตรฐานผ่านอย. จากไทยและต่างประเทศ โดยทีมแพทย์หมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์วิทยากรผู้สอนการฉีดฟิลเลอร์ สารลดเรือนริ้วรอย และ Collagen Biostimulator ระดับต้น ๆ ของประเทศ ประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์มามากกว่า 15 ปี มาพร้อมกับรางวัลการันตีในความสามารถมากมาย และหลากหลาย หากท่านใดสนใจฉีดฟิลเลอร์ Radiesse หรือ sculptra รวมทั้งหากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับยี่ห้อฟิลเลอร์ ก็สามารถติดต่อสอบถามทางคุณหมอและทีมงานได้ตามช่องทางดังนี้ References Gotter, A. (2018, April 21). Radiesse: What You Need to Know. Healthline. https://www.healthline.com/health/radiesse Radiesse. (n.d.). PATIENT INFORMATION GUIDE. https://radiesse.com/app/uploads/2023/06/IN00197-01.pdf
ฉีด ฟิลเลอร์ 1 CC ฉีดจุดไหนได้บ้าง? ปริมาณเพียงพอหรือไม่? เห็นผลมากน้อยแค่ไหน?
ฟิลเลอร์ 1 CC ฉีดจุดไหนบนใบหน้าได้บ้าง? ปริมาณ 1 CC เพียงพอหรือไม่? มีราคาต่อหลอดเท่าไหร่? Infiniz Clinic พร้อมตอบคำถามที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ปลอมอันตราย ควรตรวจสอบให้ดีก่อนฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ปลอม คือสารเติมเต็มประเภทซิลิโคนหรือพาราฟิน ที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ มีผลข้างเคียงทำให้ผิวบวมแดงและอักเสบ ดูวิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ได้ที่นี่
ฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร? อันตรายหรือเปล่า? มีผลข้างเคียงอะไรไหม?
ฉีดสลายฟิลเลอร์ ไม่มีผลข้างเคียงอันตรายร้ายแรง ใช้เวลาไม่นานในการเห็นผล ฟิลเลอร์ใต้ผิวจะเริ่มสลายตัวได้ใน 24-48 ชั่วโมงหลังฉีดสลายฟิลเลอร์
คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra
คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra ในฐานะ Modurator แก่ Dr Jeff Huang From Taiwan ที่งานประชุมนานาชาติ International Congress Aesthetics Dermatology : ICAD 2023 ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่24 พฤศจิกายน 2566 ความรู้ความเข้าใจในสารกระตุ้นการสร้างคอลาเจน (Collagen Biostimulators) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้สารดังกล่าวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับโครงสร้างผิวและความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ในส่วนของตัว Sculptra หมอขออธิบายง่ายๆ คือส่วนประกอบหลักในการกระตุ้นให้ร่างกายเรามีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาได้นั้น คือตัว PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีใช้ทางการแพทย์มาอย่างแพร่หลายในรูปแบบไหมละลาย และวัตถุในขบวนการศัลยกรรมเสริมสร้าง (Reconstructive surgery) จึงมีความปลอดภัยสูงและจะมีการย่อยสลายช้าๆ ผ่านกระบวนการทำลายตามธรรมชาติของร่างกายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 2 ปี การเหนี่ยวนำให้ร่างกายมีการผลิต Fibroblast (เซลล์ต้นทางในการผลิต คอลลาเจน) อาศัยขบวนการทำงานทางธรรมชาติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดขบวนการอักเสบบวม แดง ร้อน ต่อผิวหนังแต่อย่างไร โดยขบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นแบบเล็กน้อยและค่อยเป็นค่อยไปจนเสร็จสมบูรณ์ทีประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดังนั้น ผู้รับบริการควรรอผลการกระตุ้นคอลลาเจนหลังจากฉีดตัว Sculptra ไปแล้วประมาณ1 เดือน นั่นคือผลที่ค่อนข้างชัดเจนและเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรม เช่น ผิวที่ได้ดูอ่อนเยาว์ลง ริ้วรอยลดลง เฟริมกระชับ และ กระจ่างใสมากขึ้นในรายงานการวิจัยสมัยใหม่ด้วยการผสมตัว Sculptra ด้วยสัดส่วนที่เจือจางพอดีจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด โดยปราศจากผลข้างเคียงที่อันตรายแต่อย่างใด และในมือแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงผลข้างเคียง เช่น ก้อนเล็กๆ (nodules)ที่เกิดขึ้นได้ ย่อมแทบจะไม่ปรากฏหลังรับบริการ นอกจากนี้ การนวด (Sculptra massage) จะช่วยให้ผลการกระตุ้นคอลลาเจน ดีมากขึ้น ตลอดจนลดผลข้างเคียงดังกล่าวอีกด้วย ในขั้นตอนการรักษาด้วย Sculptra Multidimensions (Sculptra treatment by Infiniz clinic) -การวิเคราะห์ปัญหาผิวพรรณ ตลอดจนโครงสร้างผิวร่วมถึงการวางแผนการรักษาด้วย Sculptra เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำด้วยความถูกต้อง เพื่อกำหนดแนวทางและขอบเขตของคอลลาเจนที่จำมีการสร้างขึ้นให้ได้ในอัตราส่วนและสร้างรูปหน้าใหม่ที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติ ไม่ผิดสัดส่วน -การผสม PLLA ใน Sculptra ด้วยอัตราส่วนที่ถูกต้องต่อการรักษาในแต่ละบริเวณมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นก่อนทำการรักษาแพทย์จำเป็นต้องมีการตรวจสภาพผิวโดยละเอียด และวางแผนการรักษาร่วมกับผู้รับบริการอย่างเหมาะสม เพื่อการกำหนดสัดส่วนการผสมตัว Sculptra ได้อย่างเหมาะสม -การกำหนดจุดฉีดก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ ในผู้รับบริการบางราย การฉีด Sculptraในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะเกิดผลข้างเคียงทำให้ใบหน้าเกิดความไม่เรียบเนียน หรือ ใบหน้าผิดสัดส่วนได้จึงจำเป็นต้องอาศัยการคำนวณโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์สูงอย่างแม่นยำร่วมกับการจัดวางกระจายตัวยาอย่างเหมาะสม -การดูแลหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการความงามทุกชนิด ประมาณ 2-4สัปดาห์ เพื่อรอให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด หลีกเลี่ยงความร้อน และ ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ร่วมกับ วิตามิน Cเพื่อช่วยให้การสร้างคอลลาเจนได้ผลดีที่สุด -ในกรณีที่สภาพปัญหาขาดคอลลาเจนมาก หรือ ปัญหาผิวที่ต้องการ การฟื้นฟูต่อเนื่อง สามารถรับการฉีด Sculptra ได้ 2-3 รอบ ห่างกัน ประมาณ 6-8สัปดาห์ โดยการเว้นระยะที่เหมาะสมก็เพื่อต้องการให้ผิวมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่เพื่อการประเมินการรักษาใหม่จึงจะสามารถทำได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเหมาะสม นั่นเอง -ก่อนทำการรักษาด้วย Sculptra แนะนำให้ผู้รับบริการปรึกษาแพทย์ที่จะทำการรักษาก่อน เพื่อประเมินความเหมาะสมและ สภาพปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแพทย์จะสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องเพื่อผลลัพธ์ที่ดูดีถูกใจผู้รับบริการนั่นเอง