restylane

web Jan 24 01

คุณหมออู๋แนะนำการดูแลผิวแห้งในช่วงอากาศหนาว

“Winter Itch” หรือ  “Winter Xerosis” ภาวะผิวแห้งขาดน้ำในฤดูหนาว เกิดจาก ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่ลดลงเช่นเดียวกับการเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนังชั้นนอกที่ลดน้อยลงตามสภาพอากาศภายนอกนั่นเอง โดยอาการดังกล่าวจะเกิดได้ง่ายใน คนที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่ายอยู่แล้ว  ผู้ป่วยภูมิแพ้ผิวหนังที่มักจะมีเซลล์ผิวที่เก็บกักน้ำได้น้อยอยู่แล้วอาการจึงกำเริบในช่วงฤดูหนาว หรือคนทั่วไปที่การดูแลผิวไม่ถูกต้องตามสภาพอากาศที่แห้ง และหนาวเย็นลงย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะผิวแห้งขาดน้ำเช่นกัน เช่น การใช้สบู่ที่ขจัดน้ำมันส่วนเกินที่ผิวมากเกินไป การเปิด Heater หรือแม้แต่การมีกิจวัตรประจำวันกลางแสงแดดเป็นระยะเวลานานโดยไม่ทาครีมกันแดดที่เหมาะสม โดยอาการที่พบส่วนมาก มักมีอาการคันตามผิวหนัง ระคายเคืองง่าย ผิวหนังอักเสบเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกตินั่นเอง ภาวะผิวแห้งในหน้าหนาว เป็นภัยร้ายต่อผิวในหลากหลายมิติ โดยสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดผื่นแพ้ (Eczema) เรื้อรังและรักษายากในระยะยาว จนเกิดเป็นภาวะแผลเป็นแข็งนูนตามมา หรือ มีการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ไวรัสหูดบางชนิดได้ ในผิวที่เป็นผื่นแพ้เนื่องจากภูมิคุ้มกันผิวค่อนข้างอ่อนแอนั่นเอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณที่สูญเสียการเก็บน้ำในช่วงหน้าหนาวเพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว วิธีการดูแลผิวแบบง่ายๆในช่วงอากาศหนาวมีดังนี้ -การใช้ moisturizing skin care ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังและเก็บกักน้ำไว้ใต้ผิว รวมทั้งเคลือบผิวได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 อย่าง ได้แก่    Humectants ช่วยดึงดูดโมเลกุลของน้ำเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ประกอบไปด้วย ceramides (pronounced ser-A-mids), glycerin, sorbitol, hyaluronic acid, and lecithin    Sealing substances ช่วยซีลปิดเพื่อกันการระเหยของน้ำออกจากเซลล์ผิว ได้แก่ petrolatum (petroleum jelly), silicone, lanolin, and mineral oil    Emollients เช่น linoleic, linolenic, and lauric acids มีบทบาทช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวให้มีประสิทธิภาพในการเก็บน้ำและน้ำมันที่สำคัญในระดับเซลล์ไว้ให้มีประสิทธิภาพในการสร้างความชุ่มชื้นต่อผิวได้อย่างดีเยี่ยม คงทนต่อสภาพอากาศหนาวได้ดี -อาจเพิ่มเครื่องปล่อยความชุ่มชื้นในอากาศ (Humidifier) เพื่อทำให้บรรยากาศ และ ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น -ใช้สบู่ที่มี Moisterizer บำรุงผิวเสมอได้แก่  Dove, Olay, and Basis หรือCleansers ที่ไม่มีสบู่ เช่น   Cetaphil, Oilatum-AD, and Aquanil.  แทนสบู่ปกติ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหลังอาบน้ำ แล ระยะเวลาในการอาบน้ำควรจำกัดลดลงแค่ 5-10 นาที ต่อครั้ง และไม่บ่อยเกินไป จนทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น -ควรลดการอาบน้ำอุ่นจัด เพราะ น้ำอุ่นจะละลาย Natural oil ที่ติดอยู่ที่ผิวออกไป ทำให้ผิวยิ่งแห้งลง -ควรหลีกเลี่ยง สบูที่มีน้ำหอม ระงับกลิ่น หรือ สบู่ที่ผสมแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะละลาย Natural oil ที่ผิวเราออกไปเช่นกัน -แนะนำทา Moisturizer บำรุงผิวทันทีหลังอาบน้ำหรือล้างมือ เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กลับคืนสู่ผิว -ควรใช้ผงซักฟอกที่ปราศจากน้ำหอม และ งดใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม -หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อขนสัตว์ ใยสังเคราะห์ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว -แนะนำทาครีมกันแดดที่มีสามารถกันได้ทั้ง UVA และ UVB เนื่องจากในช่วงหน้าหนาว แสงแดด สามารถทำร้ายผิวได้มากขึ้นจากผิวที่แห้งลง และ UV index ที่เพิ่มมากขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มี Moisturizer ผสมด้วยจะดีขึ้นในผู้มีภาวะผิวแห้ง -ก่อนโกนขน หรือหนวด แนะนำทา Shaving cream หรือ Oil บนผิวสักระยะหนึ่งก่อนเริ่มโกนเพื่อช่วยลดการระคายเคืองจากใบมีดโกนได้ -การทา Pretolatum เพื่อเคลือบปิดผิว แนะนำทาทีละน้อย เพื่อช่วยลดความเหนอะไม่สบายผิว อาจจะแนะนำเป็นทาทีละน้อย แต่ ทาบ่อยขึ้น -หากมีอาการคันจากผิวแห้ง ไม่ควรเกา แนะนำทา Moisturizer ที่ช่วยลดอาการคันได้ดี โดยอาจจะมีสาร Menthol ให้ความเย็นทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะติดเชื้อที่ผิวหนัง การเพิ่ม Skin Hydration ให้กับผิวด้วยโปรแกรม 3D Skinboosters ที่ Infiniz clinic โดยคุณหมออู๋ นพ.ณัฐพล ลาภเจริญกิจ มีโปรแกรมรักษาผิวขาดน้ำและสร้างความกระจ่างใส โดยได้รับความนิยมในช่วงหน้าหนาว ด้วยหลักการฉีดตัว Hyaluronic acid skinboosters เข้าไปสู่ชั้นหนังแท้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้เก็บกักน้ำสู่เซลล์ผิวชั้นลึก ผลที่ได้จึงเพิ่มน้ำให้กับเซลล์ผิว การทำงานของเซลล์ผิวกลับสู่ภาวะสมดุลย์มากขึ้น จึงทำให้ผิวเนียนนุ่ม เปล่งประกาย สดใส เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยลดลง ตลอดจน แลดูสุขภาพดีอีกด้วย ด้วยเทคนิคพิเศษเฉพาะตัวของโปรแกรม 3D Skinboostersด้วยการทำskin highlight & shading จะทำให้ผิวดูแวววาว มี Focused zone รับแสงจาก Light reflection และ มี Shading zone เกิดความละมุนใบหน้าเข้ารูปมากขึ้น นั่นเอง

S 5062837 0

คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารเติมเต็มและฟื้นฟูผิว โปรแกรมSculptra

คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra ในฐานะ Modurator แก่ Dr Jeff Huang From Taiwan ที่งานประชุมนานาชาติ International Congress Aesthetics Dermatology : ICAD 2023 ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่24 พฤศจิกายน 2566 ความรู้ความเข้าใจในสารกระตุ้นการสร้างคอลาเจน (Collagen Biostimulators) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้สารดังกล่าวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับโครงสร้างผิวและความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ในส่วนของตัว Sculptra หมอขออธิบายง่ายๆ คือส่วนประกอบหลักในการกระตุ้นให้ร่างกายเรามีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาได้นั้น คือตัว PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีใช้ทางการแพทย์มาอย่างแพร่หลายในรูปแบบไหมละลาย และวัตถุในขบวนการศัลยกรรมเสริมสร้าง (Reconstructive surgery) จึงมีความ สูงและจะมีการย่อยสลายช้าๆ ผ่านกระบวนการทำลายตามธรรมชาติของร่างกายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 2 ปี การเหนี่ยวนำให้ร่างกายมีการผลิต Fibroblast (เซลล์ต้นทางในการผลิต คอลลาเจน) อาศัยขบวนการทำงานทางธรรมชาติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดขบวนการอักเสบบวม แดง ร้อน ต่อผิวหนังแต่อย่างไร โดยขบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นแบบเล็กน้อยและค่อยเป็นค่อยไปจนเสร็จสมบูรณ์ทีประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดังนั้น ผู้รับบริการควรรอผลการกระตุ้นคอลลาเจนหลังจากฉีดตัว Sculptra ไปแล้วประมาณ1 เดือน นั่นคือผลที่ค่อนข้างชัดเจนและเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรม เช่น ผิวที่ได้ดูอ่อนเยาว์ลง ริ้วรอยลดลง เฟริมกระชับ และ กระจ่างใสมากขึ้นในรายงานการวิจัยสมัยใหม่ด้วยการผสมตัว Sculptra ด้วยสัดส่วนที่เจือจางพอดีจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี โดยปราศจากผลข้างเคียงที่อันตรายแต่อย่างใด และในมือแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงผลข้างเคียง เช่น ก้อนเล็กๆ (nodules)ที่เกิดขึ้นได้ ย่อมแทบจะไม่ปรากฏหลังรับบริการ นอกจากนี้ การนวด (Sculptra massage) จะช่วยให้ผลการกระตุ้นคอลลาเจน ดีมากขึ้น ตลอดจนลดผลข้างเคียงดังกล่าวอีกด้วย ในขั้นตอนการรักษาด้วย Sculptra Multidimensions (Sculptra treatment by Infiniz clinic) -การวิเคราะห์ปัญหาผิวพรรณ ตลอดจนโครงสร้างผิวร่วมถึงการวางแผนการรักษาด้วย Sculptra เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำด้วยความถูกต้อง เพื่อกำหนดแนวทางและขอบเขตของคอลลาเจนที่จำมีการสร้างขึ้นให้ได้ในอัตราส่วนและสร้างรูปหน้าใหม่ที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติ ไม่ผิดสัดส่วน -การผสม PLLA ใน Sculptra ด้วยอัตราส่วนที่ถูกต้องต่อการรักษาในแต่ละบริเวณมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นก่อนทำการรักษาแพทย์จำเป็นต้องมีการตรวจสภาพผิวโดยละเอียด และวางแผนการรักษาร่วมกับผู้รับบริการอย่างเหมาะสม เพื่อการกำหนดสัดส่วนการผสมตัว Sculptra ได้อย่างเหมาะสม -การกำหนดจุดฉีดก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ ในผู้รับบริการบางราย การฉีด Sculptraในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะเกิดผลข้างเคียงทำให้ใบหน้าเกิดความไม่เรียบเนียน หรือ ใบหน้าผิดสัดส่วนได้จึงจำเป็นต้องอาศัยการคำนวณโดยแพทย์ผู้ชำนาญการสูงอย่างแม่นยำร่วมกับการจัดวางกระจายตัวยาอย่างเหมาะสม -การดูแลหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการความงามทุกชนิด ประมาณ 2-4สัปดาห์ เพื่อรอให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนได้อย่างสมบูรณ์ หลีกเลี่ยงความร้อน และ ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ร่วมกับ วิตามิน Cเพื่อช่วยให้การสร้างคอลลาเจนได้ผลดี -ในกรณีที่สภาพปัญหาขาดคอลลาเจนมาก หรือ ปัญหาผิวที่ต้องการ การฟื้นฟูต่อเนื่อง สามารถรับการฉีด Sculptra ได้ 2-3 รอบ ห่างกัน ประมาณ 6-8สัปดาห์ โดยการเว้นระยะที่เหมาะสมก็เพื่อต้องการให้ผิวมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่เพื่อการประเมินการรักษาใหม่จึงจะสามารถทำได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเหมาะสม นั่นเอง -ก่อนทำการรักษาด้วย Sculptra แนะนำให้ผู้รับบริการปรึกษาแพทย์ที่จะทำการรักษาก่อน เพื่อประเมินความเหมาะสมและ สภาพปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแพทย์จะสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องเพื่อผลลัพธ์ที่ดูดีถูกใจผู้รับบริการนั่นเอง

S 5062847 0

หมออู๋ รับบท speaker บรรยาย และ สาธิตงานฉีด Sculptra แก่แพทย์ความงาม

หมออู๋ รับบท speaker บรรยาย และ สาธิตงานฉีด Sculptra แก่แพทย์ความงาม ที่ Tria Medical wellness Center ในส่วนของงานสอนในวันนี้ เป็น การให้ความรุ้ถึงคุณสมบัติของ collagen biostimulator PLLA-SCULPTRA ในการกระตุ้นให้ผิวของเราสร้างคอลลาเจนได้อย่างไร  รวมทั้งจุดเด่นในการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างชัดเจน แต่ยังคงความ สุงสุด โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆหลังทำ โดยคุณหมออู๋ได้อธิบายถึงการประเมินสภาพปัญหาผิวและต่อด้วย การดีไซน์กำหนดจุดฉีด รวมถึงต้องทำการฉีดในชั้นผิวระดับความลึกที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี เท่านั้นโดยจะมีระดับความลึกที่แตกต่างกันออกไปในผู้รับบริการแต่ละท่าน ขั้นตอนการดีไซน์รุปหน้าและกำหนดจุดฉีด เป็นส่วนที่สำคัญ ดังนั้น คุณหมออู๋ จึงใช้เวลาการออกแบบการรักษาและกำหนดจุดฉีดอย่าละเอียดแก่แพทย์ที่เข้าร่วม work shop เพื่อเป็นข้อมุลสำคัญก่อนที่แพทย์ผู้เรียนจะเริ่มทำการฉีด และ สามารถนำไปใช้ต่อใน Practice ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากผลข้างเคียง ติดตามชมภาพคุณหมออู๋ กับ งานสอน sculptra กันได้เลยค่ะ

58120907.3b918cf2091a58be920ec238efa4bf2a.20112105

ตามหมออู๋ มา Update ความรุ้กับงานประชุม GAIN Global @Dubai 2023

คุณหมออู๋ ณัฐพล บินร่วมงานประชุม update ความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ และศึกษารูปแบบการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ใช้ในการฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (collagen biostimulator) Global GAIN ณ เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรส ในฐานะแพทย์วิทยากรผู้สอนสารลดเรือนริ้วรอยและสารเติมเต็ม HA FILLER จากประเทศไทยร่วมกับแพทย์อื่นๆทั่วโลก ในการประชุมครั้งนี้ ได้ มีการ update ความรู้ที่น่าสนใจ ในส่วนของ Anatomy จาก World speaker Prof. Sebastian Cotofana (Anatomist) ในองค์ประกอบของการจัดเรียงตัวของชั้นไขมันในแต่ละส่วนของผิวหน้า มีความแตกต่างกันอย่างมาก เช่นบริเวณคางจะมีองค์ประกอบของชั้นไขมันที่เหนียวและแข็งแรงมากกว่า บริเวณใต้คางที่มีความอ่อนนุ่มและมีคอลลาเจนที่น้อยกว่า ดังนั้นการเลือกใช้ HA filler หรือ Collagen biostimulator จึงต้องเลือกทั้งชนิดและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อีกส่วนที่สำคัญคือ โครงสร้าง Anatomy บริเวณริมฝีปากคือภายในเนื้อริมฝีปากจะมี โครงสร้างที่มีชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกั้นแต่ละส่วนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่แพทย์ต้องทำความเข้าใจ เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบการเติมฟิลเลอร์ปากเพื่อปรับแก้ไขปัญหา หรือ สร้างทรงริมฝีปากใหม่ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังได้มีการ Update ความรู้ในเรื่องของการใช้เทคนิคผสมผสาน การฉีดสารลดเรือนริ้วรอย สารเติมเต็ม และ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen biostimulator) โดยการกำหนดจุดฉีดที่เหมาะสมและแก้ไขปัญหาได้หลากหลาย ในทุกชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องด้วย การใช้ Injectable products มีหลากหลาย การเลือกใช้ตัวยาที่มีความเฉพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหา ย่อมได้ผลชัดเจน และ ปราศจากผลข้างเคียงจากภาวะ Overfill Syndrome อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการดูงานในส่วน exhibition จาก Global medical affair โดยได้มีการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การคิดค้น ส่วนผสมของทุกผลิตภัณฑ์ เช่น Restylane filler, ABO Botulinum Toxin, PLLA of Sculptra  ตลอดจน ข้อมุลทางงานวิจัยที่ทันสมัยที่นำเสนอผลการรักษา และ ผลข้างเคียงต่างๆ ไว้อย่างละเอียดครบถ้วน เพื่อนำมาปรับใช้ให้ผู้รับบริการได้ผลการรักษาที่ชัดเจน โดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “Concept of personalization” การได้เห็นรูปแบบการปรับรูปหน้าใหม่ๆ กับเคสที่หลากหลายเชื้อชาติ เช่น East Asians, South East Asians, Europeans, Arabians, Americans and latinos ทำให้มีความเข้าใจ concept of beauty ที่มีความชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในส่วนของงานฉีดฟิลเลอร์และสารลดเรือนริ้วรอย จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างดี เพื่อนำมาใช้พัฒนางานปรับรูปหน้าเฉพาะบุคคลให้ได้ผลที่สวยงามตามคุณลักษณะของสัดส่วนใบหน้าของผู้รับบริการแต่ละรายนั่นเอง

420F024B AC9C 48BA 867B 0BB080EAB082 L0 001

Anatomy บริเวณใต้ตา (Tear Trough Anatomy)

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไรให้ ไร้ผลข้างเคียงและได้ผลลัพธ์ที่สวยงามลงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตานั้นถือว่าเป็นบริเวณที่มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก เนื่องจากว่า มีโครงสร้าง ผิวหนังไขมัน กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่วางตัวซ้อนทับกัน และ พาดเกี่ยวกัน ด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่สำคัญปริมาณมากรวมทั้งพื้นที่บริเวณใต้ตาและแก้ม จะมีการเคลื่อนไหวอย่างมากนำมาซึ่งพยาธิสภาพที่ผิดปกติเมื่อ อายุที่มากขึ้น ทั้งความหย่อน และโครงสร้างที่บางหรือพร่องลงไป นอกจากนี้ บริเวณใต้ตา และแก้ม ยังมีเส้นเลือดเส้นประสาทสำคัญปริมาณมาก และมีความสำคัญที่เชื่อมต่อเข้าสู่ดวงตาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นแพทย์จึงจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งของเส้นเลือดเหล่านี้อย่างดี เพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปในบริเวณดังกล่าว หรือ ป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์นั่นเอง พื้นทีบริเวณใต้ตา ประกอบด้วย Jigsaw ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกัน และ วางทับกันอยู่เป็นปริมาณมาก และ มีขนาดหรือการเรียงตัวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลการเข้าใจถึงพยาธิสภาพปัญหาที่ถูกต้องสำหรับปัญหาใต้ตาจึงต้องได้รับการฝึกฝน และ ต้องอาศัยประสบการณ์ของแพทย์อย่างมากโดยการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เล็กๆนี้ ยังต้องอาศัยความแม่นยำในการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณนั้นๆอีกเช่นกันดังนั้นสิ่งสำคัญที่แพทย์ทุกคนควรต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างสูง นั่นคือโครงสร้างกายวิภาคศาสตร์บริเวณใต้ตา อย่างละเอียด เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้อย่าง และได้ผลลัพธ์ที่สวยงามไร้ผลข้างเคียง ปัญหาที่พบบ่อยคือ ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน หลังฉีด ซึ่งอาจพบได้หลังจากฉีดไปแล้ว 3-6 เดือน หรือในบางราย อาจยาวนานถึง 1 ปี จึงค่อยเกิดปัญหานี้ขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักคือการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแทรกตัวอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อนั่นเอง โดยมักเกิดขึ้นจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตามีการเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก จึงง่ายต่อการเกิดภาวะดังกล่าว ซึ่งวิธีแก้คือ การฉีดสลายฟิลเลอร์ส่วนเกินนั้นออกและ ทำการแก้ไขใหม่ตามความเหมาะสม อีกปัญหาหนึ่งคือการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาในชั้นตื้นเกินไปและปริมาณมากเกินไป จึงเกิดเป็นก้อนสีเทาๆ จากแสงที่ตะกกระทบลงบนผิว ทำให้เกิดความไม่เรียบเนียนและไม่สวยงาม ขั้นตอนนี้ เกิดขึ้นจากเทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพปัญหา จึงเกิดภาวะไม่กลืนตัวเข้ากับผิวบริเวณดังกล่าว โดยแพทย์ผู้ฉีดต้องมีความระมัดระวังอย่างสูงนั่นเอง โดยการแก้ไข ก็จำเป็นต้องฉีดยาสลายฟิลเลอร์ส่วนนั้นออก และ ประเมินสภาพปัญหาใหม่ การเลือกชนิดของ HA Fillerก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญที่จะนำมาซึ่งผลการรักษาที่ดูเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับโครงสร้างหรือผิวพรรณของผู้รับบริการได้อย่างดีเยี่ยม โดยฟิลเลอร์ที่นิยมฉีดแก้ไขบริเวณใต้ตา สำหรับคนไทย คือ Restylane Vital Light หรือ Restylane Classic และ Juvederm Volbella or Juvederm Volite นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ในผู้รับบริการบางคน ที่มีร่องใต้ตาลึกมาก ก็สามารถใช้ Filler ชนิดที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้น นำมาแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาด้วยโปรแกรม Daisy Eyes โดยคุณหมออู๋ ณัฐพล ยังถูกออกแบบมาให้สามารถใช้เทคนิคในการยกกระชับ และ แก้ไขถุงใต้ตา ได้อีกด้วย โดยจากการดูโครงสร้างบริเวณใต้ตาจะเห็นได้ว่า เมื่ออายุที่มากขึ้น ย่อมทำให้กระดูกเบ้าตา และ ชั้นไขมันใต้ตา บางลง เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อก็มีความหย่อนไม่กระชับอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ไม่สามารถค้ำจุนถุงใต้ตาที่โป่งพองออกมาจากอายุที่มากขึ้นได้ ดังนั้น การแก้ไขด้วยการวางฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลพอดี และแม่นยำ จึงช่วยให้มีโครงสร้างที่ support ถุงใต้ตาได้อย่างดีทำให้ขนาดลดลง ดังนั้นด้วยวิธีการฉีดฟิลเลอร์ ใต้ตาอย่างถูกวิธี จึงสามารถแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาโดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมได้อีกด้วย **อย่างไรก็ตามปัญหาถุงใต้ตา มีความซับซ้อน และมีหลากหลายรูปแบบแนะนำพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาก่อนได้รับการรักษาเท่านั้น เพื่อวางแผนการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากปัญหาถุงใต้ตาของผู้รับบริการแต่ละคนแตกต่างกัน

Web Oct 23 01

หมออู๋ Update ความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ประจำปี ค้นพบ บริเวณที่ต้องระวังเพิ่มเติมในการฉีดฟิลเลอร์ คือ คาง และ ขมับ

ปัจจุบัน มีผู้เข้ามารับบริการการฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางและขมับ จำนวนมาก ที่อินฟินิซ คลินิก โดยส่วนมากเป็นเคสที่เคยฉีดฟิลเลอร์บริเวณดังกล่าวมาก่อนแล้วเจอผลข้างเคียง ที่หมอรวบรวมไว้มีดังนี้ ปัญหาการฉีดฟิลเลอร์คางจากคลินิกอื่น -รูปทรงไม่เข้ากับใบหน้า ยาวไป สั้นไป หรือ คางยื่นเกินไป -คางไม่สมดุล หน้าไม่เท่ากัน หรือ ไม่ได้สัดส่วนกับแนวขากรรไกรล่าง -มีก้อนฟิลเลอร์ช้ดเจนขณะอยุ่เฉยๆ หรือมองเห็นขณะพูดและแสดงสีหน้า -มีอาการบวมแดงอักเสบหลังฉีด หรือภาวะคางอักเสบ ติดเชื้อ -มีอาการบวมแดง เป็นบางครั้ง -เจอเคสผลข้างเคียงจากการฉีดอุดตันเส้นเลือด ทำให้ ริมฝีปากล่างม่วงคล้ำ ผิดปกติ แต่ได้รับการแก้ไขทันเวลา จนเป็นปกติ ปัญหาการฉีดฟิลเลอร์ขมับจากคลินิกอื่น -ขมับบวม ผิดรูป ไม่ได้สัดส่วน -หลังฉีดมีอาการบวม และ ช้ำมาก -หลังฉีดไปสักระยะหนี่งมีอาการก้อนบวมปูดเป็นระยะๆ –ฟิลเลอร์ไม่กลืนกับผิวทำให้มีความไม่เรียบ -รูปทรงขมับไม่สัมพันธ์กับโครงสร้างบริเวณโหนกแก้มและหน้าผาก -มีรอยช้ำหรือสีม่วงบริเวณขมับหลังการฉีดจากที่อื่นมา แต่ได้รับการแก้ไขทันเวลา จะสังเกตเห็นว่า การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจ สรีระกายวิภาคศาสตร์ ตลอดจนการออกแบบรูปทรง เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเติมฟิลเลอร์คาง และ ฟิลเลอร์ขมับ รวมถึงเทคนิคการวางฟิลเลอร์ในชั้นผิวที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและสวยงาม อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงที่รุนแรงที่สำคัญ คือการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปอุดตัน หรือ กดเบียด เส้นเลือดบริเวณใกล้เคียงจนเกิดภาวะเนื้อตายบริเวณที่ฉีดถือเป็นผลข้างเคียงที่อันตราย ซึ่งแพทย์ต้องป้องกันและหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าว วันนี้ในงานประชุมวิชาการประจำปี GAIN INSPIRED : Annual update on the “ensuring safe & effective use of dermal fillers and collagen biostimulator” 2023 มีเนื้อหาใหม่ๆที่เป็น highlight ที่หมออู๋ รวบรวมมาให้ผู้รับบริการเข้าใจดังนี้ นอกจากบริเวณใต้ตาและบริเวณหน้าผากที่เป็นจุดเสี่ยงหลักในการฉีดฟิลเลอร์ และควรได้รับการแก้ไขโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์บริเวณดังกล่าวมาอย่างดี  การฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางและขมับคับเป็นอีกบริเวณที่แพทย์มักลืมให้ความสำคัญต่อเส้นเลือดเส้นประสาทบริเวณนี้ เพราะคิดว่าฉีดง่าย แต่เมื่อปีที่ผ่านมา พบเคสมีปัญหาฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดหลังได้รับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณดังกล่าวจำนวนมาก ข้อมูลสำคัญคือ บริเวณคาง มีเส้นเลือดดำและแดง🖤❤️ หรือ แขนงที่เชื่อมต่อกันปริมาณมากและเชื่อมต่อกับภายในช่องปากด้วย ซึ่งยากจะคาดเดาได้บนใบหน้าจึงตัองอาศัยการวิเคราะห์จากสภาพปัญหาจริง ของผู้รับบริการแต่ละบุคคลก่อนจะวางแผนการฉีดฟิลเลอร์คับ ความแม่นยำในเนื้อหา Anatomy และเทคนิคการฉีดที่ รวมถึงประสบการณ์ของแพทย์เท่านั้น จึงจะสามารถรังสรรค์งานฉีดฟิลเลอร์คางให้ได้ รูปทรงที่สวยงาม✨โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ การฉีดฟิลเลอร์ที่คลาดเคลื่อนตำแหน่งผิดเพียงแค่  0.1-0.2 มิลลิเมตร ย่อมทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงผิวหนังขาดเลือดที่สำคัญ ได้แก่ คาง ริมฝีปาก และ ในช่องปาก เช่น ลิ้น อีกตำแหน่งหนึ่ง ที่มีผู้รับบริการที่อินฟินิซคลินิกเป็นจำนวนมาก คือ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณขมับ ด้วยพื้นที่ในการฉีดมีจำกัด และมีเส้นเลือดเส้นประสาทพาดผ่านจำนวนมากและหนาแน่น ตลอดจนมีโครงสร้างผิวถึง 10 ชั้นทำให้การฉีดต้องอาศัยความแม่นยำสูงสุด พร้อม การใช้ตัวฟิลเลอร์ที่เหมาะสมในการขึ้นทรงขมับให้ผู้รับบริการให้สวยถูกใจไร้รอยต่อ โดยไม่มีผลข้างเคียง และที่สำคัญในใบหน้าจริงมีเส้นเลือดที่วางในลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลอีกด้วย ทำให้แพทย์ต้องทำการตรวจร่างกาย ประเมินสภาพปัญหาผิวพรรณที่แตกต่างกัน เพราะการวางฟิลเลอร์บริเวณนี้ ต้องอาศัยทักษะสูงเพื่อเลี่ยงการโดนเส้นเลือดแต่ยังคงต้องควบคุมให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามถูกใจผู้รับบริการมาก รวมถึงทักษะการออกแบบรูปทรงขมับให้รับกับไรผม คิ้ว หน้าผาก ดวงตา ตลอดจนโหนกแก้มของผู้รับบริการ

02 ปัญหาใต้ตาคล้ำ Infiniz 1

บอกลาปัญหา! ใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหลด้วย Filler จาก Infiniz Clinic

เรื่องของใบหน้า ถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนมักจะให้ความสำคัญ เพราะใบหน้ามักจะเป็นจุดแรกที่คนภายนอกมองเห็น บางอาชีพ ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ใบหน้าในการทำงาน ดังนั้นจะปล่อยให้หน้าเกิดปัญหา หรือไม่สดใสไม่ได้ ซึ่ง หนึ่งในเรื่องที่กวนใจมาก คือปัญหาใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหล ซึ่งในวันนี้ Infiniz Clinic จะพาทุกคนไปดูถึงสาเหตุที่ทำให้ใต้ตาหมองคล้ำ ใช้ฟิลเลอร์ตัวไหน สำหรับแก้ปัญหาดังกล่าว ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและใครคือคนที่เหมาะในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รับรองเลยว่าคุณจะตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น ปัญาใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหล ถุงใต้ตาเกิดจากอะไร 1. พันธุกรรม พันธุกรรม ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหลได้ เนื่องจากมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้เชื้อชาติก็นับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดปัญหาใต้ตา เช่น คนอาหรับ อินเดีย จะมีใต้ตาคล้ำที่เยอะกว่าคนชาติอื่น ๆ 2. อายุเพิ่มขึ้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ไขมันภายในร่างกายจะลดลงตามช่วงวัย ซึ่งไขมันที่อยู่ระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เช่นเดียวกัน เมื่อไขมันลดลง ก็จะส่งผลให้รอบดวงตามีความหมองคล้ำไปด้วย ไม่เพียงแค่นั้น การยุบตัวของกระดูก ก็จะส่งผลให้เกิดร่องตาลึก และเห็นใต้ตาคล้ำมากขึ้นเช่นเดียวกัน 3. ถุงใต้ตา ความหมองคล้ำที่เกิดจากถุงใต้ตา เกิดจากถุงไขมันใต้ตาและหลอดเลือดส่วนเกินที่ไปเลี้ยงบริเวณใต้ตา จนเห็นเงาเส้นเลือดจนมืด นอกจากนี้ ถุงไขมันก็จะนูนขึ้นด้วย อีกทั้งยังสร้างเงาบริเวณใต้ตา หรือเห็นร่องและจุดด่างดำบริเวณร่อง สามารถรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อขจัดไขมันส่วนเกินออกไป ทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเรียบเนียนกระชับ เป็นธรรมชาติ 4. โรคภูมิแพ้ หลอดเลือดดำรอบดวงตาของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ การแพ้อาจทำให้เกิดอาการคันตา ระคายเคือง และแม้กระทั่งทำให้คนขยี้ตา การเสียดสีบ่อยครั้งจะรบกวนผิวหนังรอบดวงตา ซึ่งไปกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ในผิวหนังให้ผลิตเมลานินมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ผิวใต้ตาคล้ำได้อีกด้วย 5. แสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ มีผลกระทบโดยตรง เนื่องจากผิวใต้ตาบอบบางมาก ผิวหนังใต้ตาของคุณอาจจะบางลงจนมองเห็นเส้นเลือดบริเวณดวงตาได้ชัดเจน และทำให้ใต้ตาดูคล้ำ หากคุณต้องเจอกับแสงแดดเป็นประจำ นอกจากนี้ การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์เป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการผลิตเม็ดสีผิวมากขึ้น ทำให้ผิวที่บอบบางใต้ตาดูมีสีเข้มกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย 6. การพักผ่อนน้อย มีความเครียด การใช้สายตามากเกินไป ฯลฯ การอดนอนและการพักผ่อนรวมถึงความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน มันกลายมาเป็นเพื่อนกับรอยคล้ำเพราะอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ไม่ดี อาจทำให้รอยคล้ำใต้ตาแย่ลงได้ ดังนั้นผู้ที่ต้องการรักษารอยคล้ำจึงต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอ ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี มีความแตกต่างกันยังไง ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane  สำหรับฟิลเลอร์ Restylane ยี่ห้อแรกนี้ จะมี 2 ส่วนที่โดดเด่น คือ NASHA techology และ OBT technology ซึ่งเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ตัวฟิลเลอร์เกิดความหลากหลาย และได้รับการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลก เนื่องจากความหลากหลาย ทำให้เหมาะกับผิวหน้าของคนไข้ในแต่ละปัญหา โดยทั้งนี้ Restylane ที่เหมาะจะฉีดบริเวณใต้ตา มี 4 รุ่นด้วยกันดังนี้ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero  Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นและกลืนตัวกับผิวค่อนข้างมาก มีจุดเด่นคือสามารถใช้ฉีดแก้ปัญหาแอ่งลึกใต้ตา  แก้ปัญหาใบหน้าตอบ จากสาเหตุการทรุดตัวของกระดูก และชั้นไขมันที่หายไป โดยสามารถฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก เพื่อให้โครงสร้างบริเวณใต้ตาได้สัดส่วน ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น สำหรับการฉีดใต้ตา รุ่นที่แนะนำคือ ฟิลเลอร์ Juvederm  เป็นฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกาที่นำเข้าโดยบริษัท Allergan Aesthetics Thailand by Abbvie  โดยคุณสมบัติเด่นของเนื้อฟิลเลอร์จะมี Crosslink (จำนวนการเชื่อมพันธะ) ที่ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้ประมาณขึ้น สลายช้าลง เติมเต็มได้ดีขึ้น และเก็บน้ำได้ดี โดยเจลในกลุ่ม VyCross มีความสามารถขึ้นทรงยึดเกาะเฉพาะจุดที่ดี แต่ก็สามารถกลืนตัวกับผิวได้ดีเช่นกัน หลังฉีดจึงมีความเรียบเนียน ทำให้ฉีดแล้วไม่ฟูมากเกินไปจนผิดธรรมชาติ มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับได้ดี โดยรุ่นของฟิลเลอร์ Juvedermที่เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา หมอจะแนะนำ 3  รุ่นดังนี้ครับ ทั้ง 3 รุ่นนี้จะมี Vycross ที่เป็นเทคโนโลยีในเรื่องของการยกระชับ เพราะมีโมเลกุลยึดเกาะที่หนาแน่น หลังฉีดยังคงให้ความเป็นธรรมชาติ ดูเรียบเนียนไม่เป็นก้อน ซึ่งถ้าหากจะถามว่าฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี จากประสบการณ์ของหมอแล้ว ฟิลเลอร์ Juvederm ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ผลข้างเคียงหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รอยบวม หรือรอยเข็มที่มีสาเหตุมาจากฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติ หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปแล้ว ซึ่งไม่ต้องกังวล รอยเข็มจะค่อย ๆ หายไปภายในระยะเวลา 2-3 วัน ในเรื่องของอาการบวมจะลดลง ฟิลเลอร์จะกลายเป็นธรรมชาติ จะใช้เวลาราว ๆ 2 สัปดาห์ ถึงจะหาย 100% ใครเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา  เลือกฟิลเลอร์ใต้ตาที่ Infiniz Clinic 100% การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาค่อนข้างเป็นบริเวณที่ พบปัญหาได้ค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะ ปัญหาฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน จึงขอแนะนำผู้รับบริการศึกษาถึง ประสบการณ์ของแพทย์ จำนวนปีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ โดยเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาที่ Infiniz Clinic สำหรับโปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่อินฟินิซ คลินิก ผู้รับบริการจะมั่นใจได้เลยว่าฟิลเลอร์ทุกยี่ห้อ เป็นของแท้แน่นอน 100% เพราะเรานั้นให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ และความซื่อตรงต่อลูกค้าเป็นอันดับแรก  ทุกหัตถการการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควบคุมโดย แพทย์ที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญสูงทุกขั้นตอน นั่นคือ คุณหมออู๋ ณัฐพล คอยให้คำปรึกษา วิเคราะห์ปัญหาใต้ตา ร่วมกับการเลือกตัว HA Filler products  พร้อมใช้เทคนิคพิเศษเฉพาะตัว ไม่เกิดผลข้างเคียงทั้งหลังฉีดและในระยะยาว เพื่อต้องการให้ลูกค้าที่เข้ามารับบริการได้ผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจในทุกเคส ดังนั้นถ้าคุณอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อยากให้ลองมาที่ Infiniz Clinic เพื่อรับการวิเคราะห์ และ การรักษาที่ตรงจุด ทุกขั้นตอน และได้ผลหลังทำตามที่ใจปรารถนาค่ะ  โปรโมชั่นที่อินฟินิซ คลินิก ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเริ่มต้น 6,500 บาท / CC

02 Juvederm Web Infiniz 1

Juvederm Volite ฟิลเลอร์กระตุ้นผิวนุ่มชุ่มชื้น ฉ่ำวาวตามต้นแบบฉบับสาวเกาหลี

ในที่นี้เชื่อว่าทุกคนต้องอยากให้ผิวดูสวยสุขภาพดีกันอยู่แล้ว แต่จะทำหัตถการชนิดไหน นี่คือสิ่งที่หลาย ๆ คนกำลังเกิดความลังเลและไม่แน่ใจ ซึ่งในวันนี้ทาง อินฟินิซ คลินิก จะเป็นคนที่ช่วยหาทางออกให้กับคุณ โดยขอเสนอเป็นการทำโปรแกรมฟิลเลอร์ ที่ใช้ชื่อว่า Juvederm Volite ซึ่งโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ตัวดังกล่าว ช่วยเรื่องอะไร และมีจุดเด่นยังไงบ้าง คุณจะได้รู้แน่ ๆ และตั้งใจอ่านให้ดี เพราะครั้งนี้เรามาพร้อมโปรโมชั่นดี ๆ เพื่อให้ความสวยเป็นสิ่งที่ใครก็สามารถเข้าถึงได้ แค่มาใช้บริการที่คลินิกของเรากับแพทย์อินฟินิซ คลินิก  Juvederm Volite คืออะไร ช่วยในเรื่องอะไร ? Juvederm Volite ผลิตภัณฑ์ HA Filler ตัวใหม่ล่าสุดจากบริษัท Allergan Aesthetics  ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ความงามรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา Juvederm Volite เป็น Cross-linked Hyaluronic Acid (HA) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้มากถึง  1000 เท่า  นอกจากนี้ ยังกระตุ้น  AQP3 ( Aquaporin 3; Water and Glycerol Transporter) จึงทำให้ผิวอิ่มน้ำ ดูฉ่ำวาว รูขุมขนกระชับ ผิวดูสุขภาพดี ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และช่วยลดเรือนริ้วรอย ซึ่งเจลจะถูกฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ (Deep Dermis) เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาผิวทั้งชั้นนอกและชั้นในได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยนวัตกรรมของ Juvederm Volite ด้วย HA ที่มีความอ่อนนุ่ม ในกลุ่มเทคโนโลยี VyCross จึงมีความเบาบางของโมเลกุล และ ความเข้มข้นพอเหมาะกับการฉีดเพื่อรักษาผิวพรรณ หากฉีดเข้าสู่ระดับชั้นที่ถูกต้อง จะไม่เกิดก้อนหรือตุ่มนูนผิดปกติ Juvederm Volite นอกจากจะใช้รักษาปัญหาผิวบริเวณใบหน้าแล้ว ยังสามารถฉีดรักษาผิวพรรณบริเวณลำคอและมือ โดยเหมาะกับทุกเพศทุกวัย และหลังจากการฉีดเพียง 1 ครั้ง อยู่ได้ยาวนาน  9-12 เดือน การฉีด Juvederm Volite สามารถช่วยเหลือปัญหาผิวพรรณดังนี้ จุดเด่นที่ทำให้ควรฉีด Juvederm Volite ที่ อินฟินิซ คลินิก มีโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อและรุ่น โดยคุณหมออู๋ และ แพทย์ อินฟินิซ คลินิก จะมีวิธีการเลือกใช้โดยคำนึงถึงปัญหาและผลลัพธ์ที่ถูกใจผู้รับบริการมาก ในส่วนของ Juvederm Volite มักนำมาใช้แก้ปัญหาเรื่องผิวพรรณ เช่นปัญหาผิวหยาบกร้าน ผิวขาดน้ำ ริ้วรอยปัญหารอบดวงตา หรือ ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ทั้งนี้ตัวฟิลเลอร์ Juvederm Volite มีจุดเด่นในเรื่องการเก็บกักน้ำได้อย่างล้ำลึกและยาวนานถึง 9 เดือน หลังการฉีดเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ร่วมกับความสามารถในการยกกระชับผิวหลังฉีดทำให้ฟิลเลอร์ไม่ถ่วงผิวจนเกิดภาวะผิวหนาผิดปกติ แต่ช่วยปรับรูปทรงผิว (skin contour) ให้เข้ารูปมากขึ้นอีกด้วย  โดยรวม โปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ juvederm Volite ช่วยเรื่องดังต่อไปนี้  ฉีด Juvederm Volite ตรงไหนได้บ้าง โปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite สามารถรักษาปัญหาผิวได้หลากหลายโดยเน้นการรักษาระดับชั้นผิวหนังส่วนตื้น โดยหลักๆเป็นเรื่องของการปรับสมดุลและสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์และชุ่มชื้นมากขึ้น บริเวณที่ทำการรักษาสามารถฉีดได้ดังนี้ ใครบ้างที่ควรฉีด Juvederm Volite โดยทั่วไป โปรแรกมการฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite สามารถทำการรักษาได้ในทุกกลุ่มอายุ โดยแบ่งประเภทผู้รับบริการออกเป็นคร่าวๆ ดังนี้  ปลุกผิวใสให้ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ฉีด Juvederm Volite ที่ Infiniz เทคนิคการฉีดฟิลเลอร์โปรแกรม Juvederm Volite ที่อินฟินิซ คลินิก เริ่มต้นจากการประเมินสภาพปัญหาและกำหนดจุดที่ต้องการแก้ปัญหา และ คำนวณปริมาณยาที่ต้องการจะใช้ ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ในส่วนของเทคนิคการฉีดต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ในการปล่อยยาให้ตรงตำแหน่งของชั้นผิวระดับ “Intradermal” ใจกลางชั้นผิวส่วนบน เพื่อที่จะทำให้โมเลกุลของ Juvederm Volite กระจายตัวผ่านการทำงานของ AQP3 transporter ได้ดีที่้สุด เพื่อสร้างปรากฏการณ์เพิ่มน้ำสู่ผิวได้อย่างยาวนาน นอกจากนี้ การฉีดในชั้นดังกล่าว ยังสามารถเพิ่มผลการยกกระชับโครงสร้างผิว  (Lifting capacity) ได้ดี และไม่เกิดผลข้างเคียงเช่นก้อนหรือลำฟิลเลอร์ผิดปกติหลังฉีดนั่นเอง ราคาโปรโมชั่นโปรแกรมการฉีดฟิลเลอร์ Juvederm Volite โดยแพทย์อินฟินิซ คลินิก = 18,000 บาท ต่อ ML 

ทำความรู้จักกับ HA Filler สารเติมเต็มที่ Infiniz Clinic เลือกใช้

ทำความรู้จักกับ HA Filler สารเติมเต็มที่ Infiniz Clinic เลือกใช้

มาทำความรู้จักกับ HA Filler สารเติมเต็มที่ Infiniz Clinic เลือกใช้ หนึ่งในรูปแบบของการพัฒนาตัวเอง ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความงาม เพราะคนเราเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งต้องดูแลตัวเองควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือผิวพรรณ ที่ต้องทำให้ผิวสดใส เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ซึ่งในวันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับ HA Filler ว่าคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร เหมาะกับใคร เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ก่อนใช้บริการ HA Filler คืออะไร HA Filler (Hyaluronic Acid Filler) เป็นฟิลเลอร์ใช้ในการเติมเต็ม และเสริมส่วนบกพร่องมายาวนาน HA Filler ผลิตจากไฮยาลูโรนิค แอสิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ด้วยกระบวนการ Minimal Stabilization ส่งผลให้ HA สามารถคงอยู่ภายใต้ผิวหนังได้ยาวนานขึ้น HA ชนิดนี้ มีคุณสมบัติในการดึงน้ำเข้ารอบตัว ทำให้สามารถเติมเต็มเนื้อเยื่อให้กับผิวหนัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติเมื่อคุณมีอายุมากขึ้นไฮยาลูโรนิค แอสิด ธรรมชาติที่อยู่ใต้ผิวหนัง จะมีปริมาณที่ลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอย โครงสร้างใบหน้าแลดูหย่อนคล้อย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีตัวช่วยอย่าง HA Filler เพื่อความอ่อนเยาว์ที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น HA Filler ทำงานอย่างไร หลักการทำงานของ HA Filler เมื่อเติมเต็มด้วย HA Filler จะช่วยเพิ่มปริมาณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าของคุณกลับมาเต่งตึง และสามารถเติมเต็มริ้วรอย ให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติในทันที ด้วยความ มาตรฐานระดับโลก  HA Filler เป็นสารที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและเป็นทางเลือกที่ดี เพราะสามารถทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดเวลาที่คุณต้องการภายใต้ความ สูงสุด HA Filler สามารถทำให้คุณสวยอย่างเป็นธรรมชาติได้ในทันที และจะคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้ฟิลเลอร์บางชนิดสามารถอยู่ได้ถึง 2 ปี HA Filler เหมาะกับใคร ถ้าถามว่า HA Filler เหมาะกับใคร จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล แต่กลุ่มที่เหมาะในการจะมาใช้บริการ HA Filler มีดังนี้ HA Filler ฉีดตรงไหนดี สำหรับคำถามที่ว่า HA Filler ฉีดตรงไหนดี นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่สงสัย ซึ่งสามารถตอบได้ตรงนี้เลยว่า จุดฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมประกอบไปด้วย ร่องแก้ม การฉีด HA Filler บริเวณร่องแก้ม (ฟิลเลอร์ร่องแก้ม) เหมาะกับใบหน้าที่เริ่มมีความหย่อนคล้อย เพราะจะช่วยกักเก็บน้ำไว้ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มบริเวณช่องว่างของชั้นเซลล์ผิว ส่งผลให้ร่องแก้มที่ดูลึกนั้นตื้นขึ้น เรียบเนียนและอ่อนเยาว์  ขมับ การฉีด HA Filler บริเวณขมับ (ฟิลเลอร์ขมับ) เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องโหนกแก้มสูง ผิวหน้าแก่กว่าวัย จะช่วยให้ใบหน้าได้สัดส่วนสวยงาม ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น จมูก การฉีด HA Filler บริเวณจมูก เหมาะสำหรับคนที่ไม่มั่นใจทรงจมูกของตัวเอง ฟิลเลอร์จะเข้าไปช่วยในส่วนของการปรับสันจมูกให้ได้รูป หรือมีความโด่งเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น  ใต้ตา การฉีด HA Filler บริเวณใต้ตา (ฟิลเลอร์ใต้ตา) เหมาะสำหรับคนที่บริเวณร่องใต้ตาลึก มีถุงไขมันใต้ตา ช่วยเปลี่ยนใบหน้าให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนคนที่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ และยังช่วยลดรอยดำ ร่องลึก อีกด้วย ริมฝีปาก การฉีด HA Filler บริเวณริมฝีปาก (ฟิลเลอร์ปาก) เหมาะสำหรับคนที่ปากไม่ได้รูป โดยฉีดเพื่อให้ปากมีความอวบอิ่ม เติมเต็มบริเวณร่องปาก ยกมุมปากให้ได้ทรงสวย โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด บริการ HA Filler ที่ Infiniz Clinic HA Filler ที่ Infiniz Clinic เลือกใช้ HA Filler ผลิตจากประเทศสวีเดนและอเมริกาเท่านั้น โดยถูกนำมาใช้แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ตั้งแต่ปี 1996 และปัจจุบันได้มีการใช้ HA Filler อย่างแพร่หลาย มากกว่า 28,000,000 การรักษา และมีการใช้มากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก โดยทาง Infiniz Clinic มีการใช้ HA Filler ในการรักษาแทบทุกปัญหาของผิวตั้งแต่ร่องลึก ริ้วรอย ปรับรูปหน้า เสริมคาง จมูก แก้ไขปัญหาผิวขาดน้ำ หยาบกร้าน ขาดความยืดหยุ่น โดย 2 รุ่นที่ได้รับการยอมรับและนำเข้ามาใช้ภายในคลินิกคือ Restylane และ Juvederm เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เห็นผลทันทีหลังทำหัตถการ

image for content 12

ทำความเข้าใจเรื่อง Filler เติมเต็มอย่าง

Fillers ที่ปลอดภัยจะเป็นกลุ่มที่อยู่ได้ระยะเวลาหนึ่งนานพอควร แต่ไม่ถาวร (non permanent)

© 2020, Infiniz Clinic All right reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ และปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้ คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก