Blog

Radiesse

เจาะลึก Radiesse Filler คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ต้องฉีดกี่ครั้งเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนผิว

วันนี้ Infiniz Clinic จะมาทุกคนมาทำความรู้จัก “Radiesse” หรือที่เรียกกันว่าการ ฉีดเรเดียน คือนวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะมาช่วยดูแลผิวหน้าของคุณให้สดใสจากภายใน เนื่องด้วยเมื่ออายุมากขึ้น การดูแลผิวหน้าด้วยการทาครีมบำรุงหรือการดื่มน้ำสะอาด อาจจะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างเพียงพอ และอาจต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการแพทย์เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาผิวแทน สิ่งที่จะเป็นทางเลือกในการดูแลผิวหน้าให้กลับมาอ่อนเยาว์และดูสุขภาพดี คือ Radiesse หนึ่งในหัตถการที่จะมาช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้าของเราให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นคล้ายกับ Sculptra สำหรับใครที่อยากทราบว่า การฉีด Radiesse ราคาเท่าไหร่ และเราจะได้ประโยชน์จากฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ใบหน้าอย่างไรบ้าง ในบทความนี้ได้รวบรวมสาระน่ารู้เกี่ยวกับ Radiesse ไว้ให้คุณแล้ว Radiesse คืออะไร? Radiesse คือ สารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ชนิด CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์ผิวในชั้นใต้ผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนด้วยตนเอง และยังทำให้ผิวหน้าดูมี Volume อีกทั้งหลังฉีดเสร็จสามารถเห็นผลทันทีคล้ายการฉีดฟิลเลอร์อีกด้วย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการหัตถการทดแทนการเข้าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อย่าง ฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือ ฟิลเลอร์คางเป็นต้น เมื่อคุณมีอายุมากขึ้น ร่างกายและผิวพรรณก็จะเริ่มมีความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โครงสร้างผิวหนังเริ่มไม่สามารถสร้างคอลลาเจนได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับน้อยลง พอโครงสร้างผิวจากภายในเริ่มไม่แข็งแรง ผิวของเราจะเริ่มเกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจกับผิวหน้า ดังนั้น การดูแลผิวหน้าที่สำคัญ จึงต้องฟื้นฟูตั้งแต่ชั้นโครงสร้างผิวผ่านการเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า โดยการเลือกใช้วิธีกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Radiesse ให้ผิวหน้าของคุณดูดีได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ข้อควรรู้ก่อนฉีด Radiesse ต้องรู้อะไรบ้าง ผลลัพธ์จากการฉีด Radiesse อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและกระบวนการสร้างคอลลาเจนของแต่ละคน การฉีด Radiesse ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที อาจมีอาการบวม แดง หรือเขียวช้ำเล็กน้อยที่บริเวณฉีด ซึ่งมักหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังจากฉีด Radiesse ต้องหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดทับบริเวณที่ฉีด การออกกำลังกายหนัก และการโดนความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า หรือแสงแดดจัด ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) ซึ่งช่วยเติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว หลีกเลี่ยงการใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน และอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี และน้ำมันปลา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด Radiesse Filler มีกี่รุ่น Radiesse มี 2 รุ่นหลักที่ได้รับการใช้งานในทางการแพทย์และความงาม ได้แก่ Standard Radiesse เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และใช้ในการปรับรูปหน้า เช่น เสริมคางหรือจมูก Radiesse (+) หรือ Radiesse Plus เป็นรุ่นที่ผสมยาชา (Lidocaine) เพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการฉีด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายระหว่างทำหัตถการ คุณสมบัติเด่นของ Radiesse หลังจากที่เราทราบกันแล้วว่า Radiesse สามารถช่วยฟื้นฟูผิวหน้า และเพิ่มความกระชับให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เรามาดูกันต่อว่า Radiesse จะมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างส่วนไหนบ้างที่เป็นผลดีต่อสภาพผิวของเรา การฉีด Radiesse เหมาะหรือไม่เหมาะสมกับใคร? ผู้ที่เหมาะกับการฉีด Radiesse ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีด Radiesse ฉีด Radiesse ราคาเท่าไหร่? การเติมสารคอลลาเจนแบบฉีดด้วย Radiesse สามารถทำได้ในหลากหลายตำแหน่งทั้งผิวหน้าและผิวกาย มีปริมาณ 1.5 CC ต่อ 1 หลอด โดยสามารถปรับความเข้มข้นได้เป็น 4.5 CC พร้อมสำหรับการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนและเติมเต็ม โดยราคาของ Radiesse จะเริ่มต้นที่ 34,900-50,000 บาท* ซึ่งจะมีความแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จะได้ฟิลเลอร์ 1 CC เท่านั้น  *ราคาจะขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลที่เลือกเข้ารับบริการและเงื่อนไขอื่น ๆ ร่วมด้วย บริเวณใดที่สามารถฉีด Radiesse ได้บ้าง? การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน เข้าใบหน้าด้วย Radiesse เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และเติมเต็ม มาทดแทนคอลลาเจนและอิลาสตินที่สร้างน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น สามารถทำการฉีด Radiesse ได้ในหลายตำแหน่ง ดังนี้ Radiesse แตกต่างกับวิธีการทำหัตถการอื่น ๆ อย่างไร? ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ Sculptra  การฉีด Radiesse vs Sculptra แตกต่างกันตรงที่คุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิว แม้ว่าทั้งคู่จะช่วยเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้า แต่ Radiesse จะเน้นไปที่การกระตุ้นคอลลาเจนในการเติมร่องลึกที่มีริ้วรอยต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม Volume ให้กับผิวหน้า ผลลัพธ์ของจากฉีดจะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี  ในส่วนของการฉีด Sculptra จะเป็นการฉีดกระตุ้นคอลลาเจนให้กับผิวหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าไม่กระชับ และเติมผิวให้มีความอิ่มฟู ผลลัพธ์ของจากฉีดจะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี ทั้งสองหัตถการยังสามารถทำการฉีดควบคู่กันไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ ฟิลเลอร์  การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีดฟิลเลอร์ ตรงที่คุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญหาผิว โดยที่ Radiesse จะช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่มีร่องลึกและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหน้า มีระยะเวลาในการสลายตัวยาสูงสุดที่ 1-2 ปี ในส่วนของการฉีดฟิลเลอร์ จะมีส่วนช่วยให้ผิวมีการกักเก็บน้ำที่ดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และเติมเต็มผิวที่ไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์มีระยะเวลาในการสลายตัวยาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมีอีกทางเลือกคือการฉีดสลายฟิลเลอร์ อีกทั้งยังมีลักษณะตัวยาที่ต่างกับ Radiesse จึงเหมาะกับการฉีดผิวบริเวณติ้นที่ดีกว่า เช่น การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก, ฟิลเลอร์แก้มตอบ หรือ ฟิลเลอร์ขมับ เป็นต้น  ข้อแตกต่างระหว่าง Radiesse และ เมโสหน้าใส การฉีด Radiesse มีข้อแตกต่างกับการฉีดเมโสหน้าใส ตรงที่ Radiesse จะเป็นการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้า เพื่อให้ผิวหน้ามีความกระชับมากยิ่งขึ้น แต่เมโสหน้าใสจะเป็นการฉีดวิตามินและสารสกัดจำเป็นต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหน้า เพื่อลดปัญหาสิว ฝ้า และกระ ให้ดูจางลง และอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  หากสนใจหัตถการเกี่ยวกับการยกกระชับสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : Ulthera คืออะไร, Thermage คืออะไร และ Ultraformer MPT คืออะไร ขั้นตอนการฉีด Radiesse หลังจากที่เราทราบแล้วว่า Radiesse ช่วยในเรื่องอะไร เรามาดูกันต่อว่า ขั้นตอนการฉีด Radiesse จะมีอะไรบ้าง? คำแนะนำหลังจากฉีด Radiesse เมื่อทำการฉีด Radiesse เสร็จ เพื่อให้การฉีด Radiesse เห็นผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เราควรดูแลตัวเองอย่างไร มาดูกันได้เลย ผลข้างเคียงจากการฉีด Radiesse การฉีด Radiesse อาจจะมีผลข้างเคียงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการมีรอยแดง รอยช้ำ หรืออาการคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลเพราะอาการเหล่านี้สามารถหายได้เอง แต่หากรู้สึกปวดบริเวณที่ฉีด ให้รับประทานยาแก้ปวดเช่น paracetamol (ควรเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID) และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณนั้น เพราะอาจจะทำให้แผลเกิดการติดเชื้อได้ รวมถึงหากผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีสีซีดลง แดงคล้ำ หรือ ปวดผิดปกติมากขึ้น  ให้เข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการในทันที ฉีด Radiesse อันตรายหรือไม่? Radiesse ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) และองค์การอาหารและยาของประเทศไทย จึงมั่นใจได้ว่าไม่อันตราย เพราะสารกระตุ้นคอลลาเจนชนิด CaHA นี้ พบได้ในกระดูกและฟันของเราอยู่แล้ว ปัจจุบันก็มีการนำสารชนิดนี้มาใช้ปลูกถ่ายกระดูกและการรักษาฟัน จึงมั่นใจได้ว่าสามารถนำมาใช้ในหัตถการความงามได้อย่างปลอดภัย รีวิวผลลัพธ์จากผู้ฉีด Radiesse คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับ Radiesse Radiesse อยู่ได้นานแค่ไหน? ผลลัพธ์ของการฉีด Radiesse จะอยู่ได้เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งที่ฉีด สภาพผิวหน้า และอายุ การดูแลตัวเองหลังฉีด การพักผ่อน ความเครียด  หลังจากฉีด Radiesse ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล? ผลลัพธ์ของการฉีด Radiesse จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยหลังจากฉีด Radiesse ยาจะออกฤทธิ์ยกกระชับผิว และทำให้ร่องลึกต่าง ๆ ตื้นขึ้นทันที สำหรับระยะยาวประมาณ 3-4 สัปดาห์ ตัวยาจะเริ่มมีการกระตุ้นคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวหน้ากระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับใบหน้า ฟื้นฟูผิวหน้าให้มี Volume มากขึ้น Radiesse สามารถทำควบคู่หัตถการอื่นได้หรือไม่ ? คุณสามารถทำหัตถการอื่นรวมกับการฉีด Radiesse ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Sculptra หรือ เมโสหน้าใส แต่แนะนำว่า ควรเว้นระยะในการทำหัตถการอื่น ๆ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ Radiesse ควรฉีดต่อเนื่องหรือไม่? Radiesse สามารถฉีดต่อเนื่องได้ แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล จึงแนะนำว่า ให้ฉีดต่อเนื่องในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น สรุปเกี่ยวกับ Radiesse Radiesse เป็นนวัตกรรมในการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่นอกจากจะช่วยเติมคอลลาเจนให้ผิวหน้าแล้ว ยังช่วยให้โครงสร้างบนผิวหน้าดูดีขึ้นจากภายใน ด้วยประสิทธิภาพในการเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวกระชับ ช่วยลดริ้วรอยบริเวณร่องลึก อีกทั้งยังฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น หมดปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยเมื่อมีอายุมากขึ้น หากใครกำลังหาคลินิกดูแลผิวหน้า ที่ Infiniz Clinic มีนวัตกรรมทางการแพทย์ตอบโจทย์การปรับรูปหน้าและผิวพรรณโดยไม่ศัลยกรรมหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหารูปหน้าปรับสภาพผิวให้อ่อนเยาว์โดยการใช้เครื่องมือที่รองรับมาตรฐานผ่านอย. จากไทยและต่างประเทศ โดยทีมแพทย์หมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์วิทยากรผู้สอนการฉีดฟิลเลอร์ สารลดเรือนริ้วรอย และ Collagen Biostimulator ระดับต้น ๆ ของประเทศ ประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์มามากกว่า 15 ปี มาพร้อมกับรางวัลการันตีในความสามารถมากมาย และหลากหลาย  หากท่านใดสนใจฉีดฟิลเลอร์ Radiesse หรือ sculptra รวมทั้งหากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับยี่ห้อฟิลเลอร์ ก็สามารถติดต่อสอบถามทางคุณหมอและทีมงานได้ตามช่องทางดังนี้ References Gotter, A. (2018, April 21). Radiesse: What You Need to Know. Healthline. https://www.healthline.com/health/radiesse Radiesse. (n.d.). PATIENT INFORMATION GUIDE. https://radiesse.com/app/uploads/2023/06/IN00197-01.pdf

ฟิลเลอร์ 1 CC

ฉีด ฟิลเลอร์ 1 CC ฉีดจุดไหนได้บ้าง? ปริมาณเพียงพอหรือไม่? เห็นผลมากน้อยแค่ไหน? 

ฟิลเลอร์ 1 CC ฉีดจุดไหนบนใบหน้าได้บ้าง? ปริมาณ 1 CC เพียงพอหรือไม่? มีราคาต่อหลอดเท่าไหร่? Infiniz Clinic พร้อมตอบคำถามที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ปลอม

ฟิลเลอร์ปลอมอันตราย ควรตรวจสอบให้ดีก่อนฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ปลอม คือสารเติมเต็มประเภทซิลิโคนหรือพาราฟิน ที่ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ มีผลข้างเคียงทำให้ผิวบวมแดงและอักเสบ ดูวิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ได้ที่นี่

ฉีดสลายfiller

ฉีดสลายฟิลเลอร์คืออะไร? อันตรายหรือเปล่า? มีผลข้างเคียงอะไรไหม?

ฉีดสลายฟิลเลอร์ ไม่มีผลข้างเคียงอันตรายร้ายแรง ใช้เวลาไม่นานในการเห็นผล ฟิลเลอร์ใต้ผิวจะเริ่มสลายตัวได้ใน 24-48 ชั่วโมงหลังฉีดสลายฟิลเลอร์

S 5062837 0

คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra

คุณหมออู๋ แชร์ประสบการณ์การฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra ในฐานะ Modurator แก่ Dr Jeff Huang From Taiwan ที่งานประชุมนานาชาติ International Congress Aesthetics Dermatology : ICAD 2023 ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่24 พฤศจิกายน 2566 ความรู้ความเข้าใจในสารกระตุ้นการสร้างคอลาเจน (Collagen Biostimulators) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้สารดังกล่าวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับโครงสร้างผิวและความต้องการของผู้รับบริการแต่ละบุคคล ในส่วนของตัว Sculptra หมอขออธิบายง่ายๆ คือส่วนประกอบหลักในการกระตุ้นให้ร่างกายเรามีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาได้นั้น คือตัว PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งมีใช้ทางการแพทย์มาอย่างแพร่หลายในรูปแบบไหมละลาย และวัตถุในขบวนการศัลยกรรมเสริมสร้าง (Reconstructive surgery) จึงมีความปลอดภัยสูงและจะมีการย่อยสลายช้าๆ ผ่านกระบวนการทำลายตามธรรมชาติของร่างกายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 2 ปี การเหนี่ยวนำให้ร่างกายมีการผลิต Fibroblast (เซลล์ต้นทางในการผลิต คอลลาเจน) อาศัยขบวนการทำงานทางธรรมชาติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดขบวนการอักเสบบวม แดง ร้อน ต่อผิวหนังแต่อย่างไร โดยขบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นแบบเล็กน้อยและค่อยเป็นค่อยไปจนเสร็จสมบูรณ์ทีประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดังนั้น ผู้รับบริการควรรอผลการกระตุ้นคอลลาเจนหลังจากฉีดตัว Sculptra ไปแล้วประมาณ1 เดือน นั่นคือผลที่ค่อนข้างชัดเจนและเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรม เช่น ผิวที่ได้ดูอ่อนเยาว์ลง ริ้วรอยลดลง เฟริมกระชับ และ กระจ่างใสมากขึ้นในรายงานการวิจัยสมัยใหม่ด้วยการผสมตัว Sculptra ด้วยสัดส่วนที่เจือจางพอดีจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด โดยปราศจากผลข้างเคียงที่อันตรายแต่อย่างใด และในมือแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงผลข้างเคียง เช่น ก้อนเล็กๆ (nodules)ที่เกิดขึ้นได้ ย่อมแทบจะไม่ปรากฏหลังรับบริการ นอกจากนี้ การนวด (Sculptra massage) จะช่วยให้ผลการกระตุ้นคอลลาเจน ดีมากขึ้น ตลอดจนลดผลข้างเคียงดังกล่าวอีกด้วย ในขั้นตอนการรักษาด้วย Sculptra Multidimensions (Sculptra treatment by Infiniz clinic) -การวิเคราะห์ปัญหาผิวพรรณ ตลอดจนโครงสร้างผิวร่วมถึงการวางแผนการรักษาด้วย Sculptra เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ต้องทำด้วยความถูกต้อง เพื่อกำหนดแนวทางและขอบเขตของคอลลาเจนที่จำมีการสร้างขึ้นให้ได้ในอัตราส่วนและสร้างรูปหน้าใหม่ที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติ ไม่ผิดสัดส่วน -การผสม PLLA ใน Sculptra ด้วยอัตราส่วนที่ถูกต้องต่อการรักษาในแต่ละบริเวณมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นก่อนทำการรักษาแพทย์จำเป็นต้องมีการตรวจสภาพผิวโดยละเอียด และวางแผนการรักษาร่วมกับผู้รับบริการอย่างเหมาะสม เพื่อการกำหนดสัดส่วนการผสมตัว Sculptra ได้อย่างเหมาะสม -การกำหนดจุดฉีดก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ ในผู้รับบริการบางราย การฉีด Sculptraในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะเกิดผลข้างเคียงทำให้ใบหน้าเกิดความไม่เรียบเนียน หรือ ใบหน้าผิดสัดส่วนได้จึงจำเป็นต้องอาศัยการคำนวณโดยแพทย์ผู้ชำนาญการสูงอย่างแม่นยำร่วมกับการจัดวางกระจายตัวยาอย่างเหมาะสม -การดูแลหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการความงามทุกชนิด ประมาณ 2-4สัปดาห์ เพื่อรอให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด หลีกเลี่ยงความร้อน และ ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ร่วมกับ วิตามิน Cเพื่อช่วยให้การสร้างคอลลาเจนได้ผลดีที่สุด -ในกรณีที่สภาพปัญหาขาดคอลลาเจนมาก หรือ ปัญหาผิวที่ต้องการ การฟื้นฟูต่อเนื่อง สามารถรับการฉีด Sculptra ได้ 2-3 รอบ ห่างกัน ประมาณ 6-8สัปดาห์ โดยการเว้นระยะที่เหมาะสมก็เพื่อต้องการให้ผิวมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่เพื่อการประเมินการรักษาใหม่จึงจะสามารถทำได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเหมาะสม นั่นเอง -ก่อนทำการรักษาด้วย Sculptra แนะนำให้ผู้รับบริการปรึกษาแพทย์ที่จะทำการรักษาก่อน เพื่อประเมินความเหมาะสมและ สภาพปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแพทย์จะสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องเพื่อผลลัพธ์ที่ดูดีถูกใจผู้รับบริการนั่นเอง

S 5062847 0

หมออู๋ รับบท speaker บรรยาย และ สาธิตงานฉีด Sculptra แก่แพทย์ความงาม

หมออู๋ รับบท speaker บรรยาย และ สาธิตงานฉีด Sculptra แก่แพทย์ความงาม ที่ Tria Medical wellness Center ในส่วนของงานสอนในวันนี้ เป็น การให้ความรุ้ถึงคุณสมบัติของ collagen biostimulator PLLA-SCULPTRA ในการกระตุ้นให้ผิวของเราสร้างคอลลาเจนได้อย่างไร  รวมทั้งจุดเด่นในการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างชัดเจน แต่ยังคงความปลอดภัยสุงสุด โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆหลังทำ โดยคุณหมออู๋ได้อธิบายถึงการประเมินสภาพปัญหาผิวและต่อด้วย การดีไซน์กำหนดจุดฉีด รวมถึงต้องทำการฉีดในชั้นผิวระดับความลึกที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุดเท่านั้นโดยจะมีระดับความลึกที่แตกต่างกันออกไปในผู้รับบริการแต่ละท่าน ขั้นตอนการดีไซน์รุปหน้าและกำหนดจุดฉีด เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ดังนั้น คุณหมออู๋ จึงใช้เวลาการออกแบบการรักษาและกำหนดจุดฉีดอย่าละเอียดแก่แพทย์ที่เข้าร่วม work shop เพื่อเป็นข้อมุลสำคัญก่อนที่แพทย์ผู้เรียนจะเริ่มทำการฉีด และ สามารถนำไปใช้ต่อใน Practice ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากผลข้างเคียง ติดตามชมภาพคุณหมออู๋ กับ งานสอน sculptra กันได้เลยค่ะ

58120907.3b918cf2091a58be920ec238efa4bf2a.20112105

ตามหมออู๋ มา Update ความรุ้กับงานประชุม GAIN Global @Dubai 2023

คุณหมออู๋ ณัฐพล บินร่วมงานประชุม update ความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ และศึกษารูปแบบการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ใช้ในการฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (collagen biostimulator) Global GAIN ณ เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรส ในฐานะแพทย์วิทยากรผู้สอนสารลดเรือนริ้วรอยและสารเติมเต็ม HA FILLER จากประเทศไทยร่วมกับแพทย์อื่นๆทั่วโลก ในการประชุมครั้งนี้ ได้ มีการ update ความรู้ที่น่าสนใจ ในส่วนของ Anatomy จาก World speaker Prof. Sebastian Cotofana (Anatomist) ในองค์ประกอบของการจัดเรียงตัวของชั้นไขมันในแต่ละส่วนของผิวหน้า มีความแตกต่างกันอย่างมาก เช่นบริเวณคางจะมีองค์ประกอบของชั้นไขมันที่เหนียวและแข็งแรงมากกว่า บริเวณใต้คางที่มีความอ่อนนุ่มและมีคอลลาเจนที่น้อยกว่า ดังนั้นการเลือกใช้ HA filler หรือ Collagen biostimulator จึงต้องเลือกทั้งชนิดและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อีกส่วนที่สำคัญคือ โครงสร้าง Anatomy บริเวณริมฝีปากคือภายในเนื้อริมฝีปากจะมี โครงสร้างที่มีชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกั้นแต่ละส่วนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่แพทย์ต้องทำความเข้าใจ เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบการเติมฟิลเลอร์ปากเพื่อปรับแก้ไขปัญหา หรือ สร้างทรงริมฝีปากใหม่ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังได้มีการ Update ความรู้ในเรื่องของการใช้เทคนิคผสมผสาน การฉีดสารลดเรือนริ้วรอย สารเติมเต็ม และ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen biostimulator) โดยการกำหนดจุดฉีดที่เหมาะสมและแก้ไขปัญหาได้หลากหลาย ในทุกชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องด้วย การใช้ Injectable products มีหลากหลาย การเลือกใช้ตัวยาที่มีความเฉพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหา ย่อมได้ผลชัดเจน และ ปราศจากผลข้างเคียงจากภาวะ Overfill Syndrome อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการดูงานในส่วน exhibition จาก Global medical affair โดยได้มีการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การคิดค้น ส่วนผสมของทุกผลิตภัณฑ์ เช่น Restylane filler, ABO Botulinum Toxin, PLLA of Sculptra  ตลอดจน ข้อมุลทางงานวิจัยที่ทันสมัยที่นำเสนอผลการรักษา และ ผลข้างเคียงต่างๆ ไว้อย่างละเอียดครบถ้วน เพื่อนำมาปรับใช้ให้ผู้รับบริการได้ผลการรักษาที่ชัดเจน โดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “Concept of personalization” การได้เห็นรูปแบบการปรับรูปหน้าใหม่ๆ กับเคสที่หลากหลายเชื้อชาติ เช่น East Asians, South East Asians, Europeans, Arabians, Americans and latinos ทำให้มีความเข้าใจ concept of beauty ที่มีความชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในส่วนของงานฉีดฟิลเลอร์และสารลดเรือนริ้วรอย จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างดี เพื่อนำมาใช้พัฒนางานปรับรูปหน้าเฉพาะบุคคลให้ได้ผลที่สวยงามตามคุณลักษณะของสัดส่วนใบหน้าของผู้รับบริการแต่ละรายนั่นเอง

420F024B AC9C 48BA 867B 0BB080EAB082 L0 001

Anatomy บริเวณใต้ตา (Tear Trough Anatomy)

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไรให้ปลอดภัยไร้ผลข้างเคียงและได้ผลลัพธ์ที่สวยงามลงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตานั้นถือว่าเป็นบริเวณที่มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก เนื่องจากว่า มีโครงสร้าง ผิวหนังไขมัน กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่วางตัวซ้อนทับกัน และ พาดเกี่ยวกัน ด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่สำคัญปริมาณมากรวมทั้งพื้นที่บริเวณใต้ตาและแก้ม จะมีการเคลื่อนไหวอย่างมากนำมาซึ่งพยาธิสภาพที่ผิดปกติเมื่อ อายุที่มากขึ้น ทั้งความหย่อน และโครงสร้างที่บางหรือพร่องลงไป นอกจากนี้ บริเวณใต้ตา และแก้ม ยังมีเส้นเลือดเส้นประสาทสำคัญปริมาณมาก และมีความสำคัญที่เชื่อมต่อเข้าสู่ดวงตาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นแพทย์จึงจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งของเส้นเลือดเหล่านี้อย่างดี เพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ไปในบริเวณดังกล่าว หรือ ป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์นั่นเอง พื้นทีบริเวณใต้ตา ประกอบด้วย Jigsaw ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกัน และ วางทับกันอยู่เป็นปริมาณมาก และ มีขนาดหรือการเรียงตัวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลการเข้าใจถึงพยาธิสภาพปัญหาที่ถูกต้องสำหรับปัญหาใต้ตาจึงต้องได้รับการฝึกฝน และ ต้องอาศัยประสบการณ์ของแพทย์อย่างมากโดยการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เล็กๆนี้ ยังต้องอาศัยความแม่นยำในการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณนั้นๆอีกเช่นกันดังนั้นสิ่งสำคัญที่แพทย์ทุกคนควรต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างสูง นั่นคือโครงสร้างกายวิภาคศาสตร์บริเวณใต้ตา อย่างละเอียด เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้อย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่สวยงามไร้ผลข้างเคียง ปัญหาที่พบบ่อยคือ ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน หลังฉีด ซึ่งอาจพบได้หลังจากฉีดไปแล้ว 3-6 เดือน หรือในบางราย อาจยาวนานถึง 1 ปี จึงค่อยเกิดปัญหานี้ขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักคือการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแทรกตัวอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อนั่นเอง โดยมักเกิดขึ้นจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตามีการเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก จึงง่ายต่อการเกิดภาวะดังกล่าว ซึ่งวิธีแก้คือ การฉีดสลายฟิลเลอร์ส่วนเกินนั้นออกและ ทำการแก้ไขใหม่ตามความเหมาะสม อีกปัญหาหนึ่งคือการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาในชั้นตื้นเกินไปและปริมาณมากเกินไป จึงเกิดเป็นก้อนสีเทาๆ จากแสงที่ตะกกระทบลงบนผิว ทำให้เกิดความไม่เรียบเนียนและไม่สวยงาม ขั้นตอนนี้ เกิดขึ้นจากเทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพปัญหา จึงเกิดภาวะไม่กลืนตัวเข้ากับผิวบริเวณดังกล่าว โดยแพทย์ผู้ฉีดต้องมีความระมัดระวังอย่างสูงนั่นเอง โดยการแก้ไข ก็จำเป็นต้องฉีดยาสลายฟิลเลอร์ส่วนนั้นออก และ ประเมินสภาพปัญหาใหม่ การเลือกชนิดของ HA Fillerก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญที่จะนำมาซึ่งผลการรักษาที่ดูเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับโครงสร้างหรือผิวพรรณของผู้รับบริการได้อย่างดีเยี่ยม โดยฟิลเลอร์ที่นิยมฉีดแก้ไขบริเวณใต้ตา สำหรับคนไทย คือ Restylane Vital Light หรือ Restylane Classic และ Juvederm Volbella or Juvederm Volite นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ในผู้รับบริการบางคน ที่มีร่องใต้ตาลึกมาก ก็สามารถใช้ Filler ชนิดที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้น นำมาแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาด้วยโปรแกรม Daisy Eyes โดยคุณหมออู๋ ณัฐพล ยังถูกออกแบบมาให้สามารถใช้เทคนิคในการยกกระชับ และ แก้ไขถุงใต้ตา ได้อีกด้วย โดยจากการดูโครงสร้างบริเวณใต้ตาจะเห็นได้ว่า เมื่ออายุที่มากขึ้น ย่อมทำให้กระดูกเบ้าตา และ ชั้นไขมันใต้ตา บางลง เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อก็มีความหย่อนไม่กระชับอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ไม่สามารถค้ำจุนถุงใต้ตาที่โป่งพองออกมาจากอายุที่มากขึ้นได้ ดังนั้น การแก้ไขด้วยการวางฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลพอดี และแม่นยำ จึงช่วยให้มีโครงสร้างที่ support ถุงใต้ตาได้อย่างดีทำให้ขนาดลดลง ดังนั้นด้วยวิธีการฉีดฟิลเลอร์ ใต้ตาอย่างถูกวิธี จึงสามารถแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาโดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมได้อีกด้วย **อย่างไรก็ตามปัญหาถุงใต้ตา มีความซับซ้อน และมีหลากหลายรูปแบบแนะนำพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาก่อนได้รับการรักษาเท่านั้น เพื่อวางแผนการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากปัญหาถุงใต้ตาของผู้รับบริการแต่ละคนแตกต่างกัน

หลังฉีดFillerห้ามกินอะไร?

7 สิ่งที่ห้ามกินหลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ช่วยให้แผลหายไวขึ้น

หลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ห้ามกินอะไร? หลังฉีดฟิลเลอร์ให้งดแอลกอฮอล์, อาหารแสลง, อาหารรสจัด, ปิ้งย่างชาบู และอาหารหมักดอง เพราะจะทำให้แผลอักเสบและติดเชื้อง่าย

แพ้ฟิลเลอร์

แพ้ฟิลเลอร์ อันตรายที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์

ผู้ที่มีอาการแพ้ฟิลเลอร์จะมีการอักเสบ บวมแดง โดยโอกาสผู้ที่แพ้ฟิลเลอร์มีน้อยมาก ๆ หากฉีดฟิลเลอร์แท้และทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

Web Oct 23 01

หมออู๋ Update ความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ประจำปี ค้นพบ บริเวณที่ต้องระวังเพิ่มเติมในการฉีดฟิลเลอร์ คือ คาง และ ขมับ

ปัจจุบัน มีผู้เข้ามารับบริการการฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางและขมับ จำนวนมาก ที่อินฟินิซ คลินิก โดยส่วนมากเป็นเคสที่เคยฉีดฟิลเลอร์บริเวณดังกล่าวมาก่อนแล้วเจอผลข้างเคียง ที่หมอรวบรวมไว้มีดังนี้ ปัญหาการฉีดฟิลเลอร์คางจากคลินิกอื่น -รูปทรงไม่เข้ากับใบหน้า ยาวไป สั้นไป หรือ คางยื่นเกินไป -คางไม่สมดุล หน้าไม่เท่ากัน หรือ ไม่ได้สัดส่วนกับแนวขากรรไกรล่าง -มีก้อนฟิลเลอร์ช้ดเจนขณะอยุ่เฉยๆ หรือมองเห็นขณะพูดและแสดงสีหน้า -มีอาการบวมแดงอักเสบหลังฉีด หรือภาวะคางอักเสบ ติดเชื้อ -มีอาการบวมแดง เป็นบางครั้ง -เจอเคสผลข้างเคียงจากการฉีดอุดตันเส้นเลือด ทำให้ ริมฝีปากล่างม่วงคล้ำ ผิดปกติ แต่ได้รับการแก้ไขทันเวลา จนเป็นปกติ ปัญหาการฉีดฟิลเลอร์ขมับจากคลินิกอื่น -ขมับบวม ผิดรูป ไม่ได้สัดส่วน -หลังฉีดมีอาการบวม และ ช้ำมาก -หลังฉีดไปสักระยะหนี่งมีอาการก้อนบวมปูดเป็นระยะๆ –ฟิลเลอร์ไม่กลืนกับผิวทำให้มีความไม่เรียบ -รูปทรงขมับไม่สัมพันธ์กับโครงสร้างบริเวณโหนกแก้มและหน้าผาก -มีรอยช้ำหรือสีม่วงบริเวณขมับหลังการฉีดจากที่อื่นมา แต่ได้รับการแก้ไขทันเวลา จะสังเกตเห็นว่า การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจ สรีระกายวิภาคศาสตร์ ตลอดจนการออกแบบรูปทรง เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเติมฟิลเลอร์คาง และ ฟิลเลอร์ขมับ รวมถึงเทคนิคการวางฟิลเลอร์ในชั้นผิวที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและสวยงาม อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงที่รุนแรงที่สำคัญที่สุดคือการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปอุดตัน หรือ กดเบียด เส้นเลือดบริเวณใกล้เคียงจนเกิดภาวะเนื้อตายบริเวณที่ฉีดถือเป็นผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุด ซึ่งแพทย์ต้องป้องกันและหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าว วันนี้ในงานประชุมวิชาการประจำปี GAIN INSPIRED : Annual update on the “ensuring safe & effective use of dermal fillers and collagen biostimulator” 2023 มีเนื้อหาใหม่ๆที่เป็น highlight ที่หมออู๋ รวบรวมมาให้ผู้รับบริการเข้าใจดังนี้ นอกจากบริเวณใต้ตาและบริเวณหน้าผากที่เป็นจุดเสี่ยงหลักในการฉีดฟิลเลอร์ และควรได้รับการแก้ไขโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์บริเวณดังกล่าวมาอย่างดี  การฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางและขมับคับเป็นอีกบริเวณที่แพทย์มักลืมให้ความสำคัญต่อเส้นเลือดเส้นประสาทบริเวณนี้ เพราะคิดว่าฉีดง่าย แต่เมื่อปีที่ผ่านมา พบเคสมีปัญหาฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดหลังได้รับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณดังกล่าวจำนวนมาก ข้อมูลสำคัญคือ บริเวณคาง มีเส้นเลือดดำและแดง🖤❤️ หรือ แขนงที่เชื่อมต่อกันปริมาณมากและเชื่อมต่อกับภายในช่องปากด้วย ซึ่งยากจะคาดเดาได้บนใบหน้าจึงตัองอาศัยการวิเคราะห์จากสภาพปัญหาจริง ของผู้รับบริการแต่ละบุคคลก่อนจะวางแผนการฉีดฟิลเลอร์คับ ความแม่นยำในเนื้อหา Anatomy และเทคนิคการฉีดที่ปลอดภัย รวมถึงประสบการณ์ของแพทย์เท่านั้น จึงจะสามารถรังสรรค์งานฉีดฟิลเลอร์คางให้ได้ รูปทรงที่สวยงาม✨โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ การฉีดฟิลเลอร์ที่คลาดเคลื่อนตำแหน่งผิดเพียงแค่  0.1-0.2 มิลลิเมตร ย่อมทำให้มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงผิวหนังขาดเลือดที่สำคัญ ได้แก่ คาง ริมฝีปาก และ ในช่องปาก เช่น ลิ้น อีกตำแหน่งหนึ่ง ที่มีผู้รับบริการที่อินฟินิซคลินิกเป็นจำนวนมาก คือ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณขมับ ด้วยพื้นที่ในการฉีดมีจำกัด และมีเส้นเลือดเส้นประสาทพาดผ่านจำนวนมากและหนาแน่น ตลอดจนมีโครงสร้างผิวถึง 10 ชั้นทำให้การฉีดต้องอาศัยความแม่นยำสูงสุด พร้อม การใช้ตัวฟิลเลอร์ที่เหมาะสมในการขึ้นทรงขมับให้ผู้รับบริการให้สวยถูกใจไร้รอยต่อ โดยไม่มีผลข้างเคียง และที่สำคัญในใบหน้าจริงมีเส้นเลือดที่วางในลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลอีกด้วย ทำให้แพทย์ต้องทำการตรวจร่างกาย ประเมินสภาพปัญหาผิวพรรณที่แตกต่างกัน เพราะการวางฟิลเลอร์บริเวณนี้ ต้องอาศัยทักษะสูงเพื่อเลี่ยงการโดนเส้นเลือดแต่ยังคงต้องควบคุมให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามถูกใจผู้รับบริการมากที่สุด รวมถึงทักษะการออกแบบรูปทรงขมับให้รับกับไรผม คิ้ว หน้าผาก ดวงตา ตลอดจนโหนกแก้มของผู้รับบริการ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ และปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้ คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก